ดร.ปาริตา เสือพันธ์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติแอสเตอร์ กรุงเทพ (ASTER INTERNATIONAL SCHOOL Bangkok) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มความนิยมโรงเรียนนานาชาติมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากความเป็น Global ที่เชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน ทำให้เด็กสามารถหาความรู้ได้ ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน หรือในเมืองไทยเท่านั้น
นอกจากนี้การทำงานในอนาคตจะมีความเป็น Global มากขึ้น ดังนั้นโรงเรียนนานาชาติจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้อย่างชัดเจน ด้วยหลักสูตร ภาษา และวิธีการสอนที่ให้เด็กคิด และประยุกต์ใช้ เพื่อสามารถรับมือกับกระแสโลกที่เปิดกว้าง และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้โรงเรียนนานาชาติแอสเตอร์ กรุงเทพ จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาระบบสหราชอาณาจักร(British Curriculum) ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าเป็นระบบที่เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตที่มีคุณภาพให้แก่เด็กๆ โดดเด่นเรื่องการศึกษาแบบองค์รวม
ที่จะช่วยพัฒนาเด็กนักเรียนทั้งด้านวิชาการและด้านอารมณ์ มุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับบริบทต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อช่วยให้เด็กมีความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต และพัฒนาเด็กให้ก้าวสู่ความเป็น “พลเมืองโลก” (Global Citizenship) ในศตวรรษที่ 21 อย่างมีคุณภาพ
โดยโรงเรียนให้ความสำคัญกับการเสริมทักษะด้านภาษา เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาความรู้ และปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วโลก และทำให้เด็กสามารถรับความรู้ได้จากหลายช่องทาง ทั้งเป็นประตูในการก้าวสู่ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งไม่เพียงภาษาอังกฤษ แต่ยังรวมถึงภาษาอื่นๆ
นอกจากนี้โรงเรียนได้นำหลักสูตรภาษาไทยสำหรับโรงเรียนนานาชาติ ของกระทรวงศึกษาธิการ มาพัฒนาให้แข็งแรงขึ้นและบรรจุเป็นหนึ่งในวิชาพิเศษให้เด็กๆ ได้รับการเสริมทักษะทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อแก้ปัญหาการขาดทักษะการสื่อสาร “ภาษาไทย” ที่มักเกิดขึ้นกับเด็กที่จบจากโรงเรียนนานาชาติ
“นอกจากหลักสูตรภาษาจีนกลาง และภาษาฝรั่งเศส ที่ถูกบรรจุเข้าไปในระบบการเรียนการสอนตั้งแต่ Year1 เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายสร้างเด็กสู่การเป็น “พลเมืองโลก” ที่มีคุณภาพแล้ว ที่นี่ยังตั้งกฎให้เด็กทุกคนต้องอ่านหนังสือภาษาไทยให้จบปีละเล่ม ตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัย เพื่อเพิ่มโอกาสในการหาความรู้ และการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่อาศัยและเติบโตในประเทศไทยในระยะยาว”
อย่างไรก็ดี โรงเรียนมุ่งผลักดันให้เด็กๆ ได้สร้างสรรค์กิจกรรมที่มุ่งให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันกับชุมชน และสังคมรอบตัว โดยเน้นกิจกรรมที่ Empower ซึ่งกันและกัน อาทิ การวางแผนกิจกรรมในอนาคตให้นักเรียนได้ออกไปสอนภาษาอังกฤษให้กับน้องๆ ที่หูหนวกและให้น้องๆ ได้มีโอกาสสอนภาษามือ หรือปัจจุบันเด็กนักเรียน Year 6 มีการจัดกิจกรรมอ่านหนังสือหรือนิทานให้น้องๆ Early Years ฟังทุกสัปดาห์ซึ่งจะช่วยสร้างสังคมแห่งการให้และรับให้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง”
“ความโดดเด่นที่แตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติทั่วไป คือ ความเป็น Inclusive School หรือความเป็นอินเตอร์ของโรงเรียนนานาชาติแอสเตอร์ กรุงเทพ ที่อยู่ในระดับสูง ด้วยมีนักเรียนจาก 37 ประเทศ และมีสัดส่วนของเด็กชาวต่างชาติราว 50% ซึ่งมาจากความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพของครู บวกกับการมีหลักสูตรภาษาจีนและฝรั่งเศส ที่ทำให้โรงเรียนเป็นตัวเลือกแรกๆ ของพ่อแม่ผู้ปกครองของกลุ่มบริษัทข้ามชาติในประเทศไทย
ด้วยจุดเด่นของโรงเรียนนานาชาติแอสเตอร์ กรุงเทพที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเชื่อมต่อถนนหลักอย่างสาธุประดิษฐ์, นราธิวาสราชนครินทร์, สีลม สาทร และย่านสุขุมวิท ย่านธุรกิจสำคัญ จึงสะดวกสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งยังมีการออกแบบสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพเด็กอย่างรอบด้านอย่างแท้จริง
ทั้งจากพื้นที่ห้องเรียนและ Learning Space ที่เน้นให้พื้นที่สำหรับการเรียนการสอนเชื่อมโยงกับพื้นที่สีเขียวภายนอกอาคาร รวมทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตั้งแต่ อาทิ ห้องประชุมใหญ่ Auditorium, สระว่ายนํ้า, สนามบาสเก็ตบอล, สนามฟุตซอล, ห้องดนตรี ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาทักษะทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนของเด็กอย่างรอบด้าน
ปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติแอสเตอร์ กรุงเทพ เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้น Nursery-Year 13 โรงเรียนให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องคุณภาพ โดยปัจจุบันโรงเรียนมีครู 30 คน และผู้ช่วยครูอีก 11 คน ซึ่งครูประจำชั้นและประจำ Core Subjects ทุกคนต้องมีประกาศนียบัตร QTS (Qualified Teacher Status) จากประเทศอังกฤษ ซึ่งจากการตอบรับที่ดีจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ทำให้มีเด็กนักเรียนเข้ามาสมัครเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงเรียนตั้งเป้าในการรับนักเรียนจำนวนสูงสุดไว้ที่ 550-600 คน ซึ่งคาดว่าจะเต็มภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,840 วันที่ 1 - 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565