ดิไอคอน กรุ๊ป ย้ำแผนการตลาด ปี 2566 ขยายไลน์สินค้าแบรนด์ BOOM เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับตัวแบรนด์มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงอายุ Gen Y X Z ที่มีกำลังซื้อและรักสุขภาพเพิ่มมากขึ้น หลังจากผ่านพ้นช่วงวิฤกติ โรคโควิด 19 บุกตลาดทั้งไทยและอาเซียน
เตรียมทุ่มงบกว่า 3 พันล้านบาทสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ด้านธุรกิจออนไลน์ย่านมีนบุรี เพื่อพัฒนานักขายออนไลน์มืออาชีพ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่บุกตลาดผลิตภัณฑ์เสริมความงามและดูแลผิวพรรณ เร่งขยายตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งเป้ายอดขาย 1 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี
นายวรัตน์พล ประธานกรรมการบริหาร ดิไอคอน กรุ๊ป เปิดเผยว่า สำหรับผลิตภัณฑ์สินค้า แบรนด์ BOOM ที่จำหน่ายและได้รับความนิยม ได้แก่ คอลลาเจน Boom, กาแฟ Room, ยาสีฟัน Boom และBOOM D-Nax เพราะสินค้าดังกล่าวตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น และคุณสมบัติที่โดดเด่น คือ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับคนรักและดูแลสุขภาพ
ส่วนสินค้าที่ทางบริษัทคาดว่าเตรียมจะแตกไลน์เพิ่ม เพื่อทำยอดขายในปี 2566 ซึ่งเป็นแผนการตลาดที่ทางบริษัทฯ ได้เตรียมไว้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์โปรตีนเสริม สายสุขภาพตัวจริง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ในหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์ให้กับกลุ่มเป้าหมายในยุคปัจจุบัน
ทั้งนี้แผนการตลาดในปี 2566 ไม่ได้ขยายเพียงแค่ผลิตภัณฑ์สินค้า แบรนด์ BOOM เท่านั้น ทางบริษัทฯ เตรียมขยายในการสร้างแบรนด์สินค้าตัวอื่นเพิ่มขึ้น และยังคงใช้พรีเซนเตอร์ที่เป็นซุปตาร์ระดับท็อปเทนของเมืองไทยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นช่องทางช่วยทำตลาดให้กับบรรดาตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ
นอกเหนือจากการยึดกลยุทธ์ 3 ดี คือ 1.สินดีค้า 2.ราคาดี และ 3.การตลาดดี อีกทั้งทางบริษัทยังใช้ช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ในการวางระบบ Dropship Fulfillment เพื่อตัวแทนไม่ต้องสต็อกสินค้าแต่สามารถจัดส่งผ่านการสั่งซื้อได้ทันทีอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบที่สร้างยอดขายให้บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกวันนี้อีกด้วย
"เราจะใช้ช้งบการตลาด 20-30% ของยอดขายทั้งหมด ไม่นับรวมกิจกรรมการส่งเสริมการตลาดที่เรามอบให้กับตัวแทนจำหน่าย ปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายทะลุ 4,900 ล้านบาท ไปเแล้ว พร้อมตั้งเป้าไว้ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทระดับ 10,000 ล้านต่อปี ส่วนตลาดในต่างประเทศ ที่ผลิตภัณฑ์สินค้าของบริษัทฯ เข้าไปจำหน่ายและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดอาเซียน ได้แก่ สปป.ลาว, กัมพูชา และเมียนมาร์ ฯลฯนอกจากนี้ในปีหน้าทางบริษัทฯ ยังเตรียมการรุกตลาดในกลุ่ม AEC ให้มากขึ้น จากนั้นจะขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลก ในอนาคตอันใกล้"
ผู้บริหารกล่าวต่อไปว่า การเติบโตของธุรกิจที่ก้าวกระโดดจากหลักร้อยล้านบาทต่อปีมาสู่ระดับพันล้านบาทภายในระยะเวลาเพียง 4 ปีนั้น เกิดขึ้นมาจากการสร้างความแตกต่างในด้านผลิตภัณฑ์ การนำเทคโนโลยีและระบบ Drop ship Fulfillment มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขายโดยไม่ต้องสต๊อกสินค้า และการลงทุนในการพัฒนาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพสร้างนักขายออนไลน์มืออาชีพ
“จุดแข็งของเราคือการลงทุนในเรื่องของการพัฒนาความรู้ เดิมเรามีโรงเรียนสอนธุรกิจย่านรามอินทราที่เปิดใช้มา 3 ปีลงทุนไปกว่า 300 ล้านบาท แต่ด้วยการขยายตัวของธุรกิจในปัจจุบันทำให้เราต้องลงทุนซื้อที่ดินจำนวน 63 ไร่ย่านมีนบุรี-หทัยราษฎร์ เพิ่มเติม เพื่อสร้างศูนย์แห่งการเรียนรู้ในเรื่องของการขายออนไลน์แบบ Mix Used ที่ครบวงจรขึ้น มีสตูดิโอสำหรับขายของออนไลน์ มีศูนย์ประชุม ร้านอาหาร เพื่อสร้างนักขายออนไลน์มืออาชีพ รองรับได้ 1 หมื่นคนต่อวัน ตั้งเป้าแล้วเสร็จภายใน 4 ปี ใช้งบประมาณ 3 พันล้านบาทในการก่อสร้าง โดยเฟสแรกคาดว่าจะพร้อมใช้งานภายใน 3 ปี
ต้นปีหน้าจะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Personal Care และ Skin Care ที่จะเริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวคิดของเราคือ เลือกทำสินค้าที่เชื่อว่ามีกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมากอยู่แล้ว แต่เราจะทำในสิ่งที่มีอยู่แล้วให้โดดเด่นและแตกต่างกว่าที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างไร อย่างกาแฟเราก็เป็นเจ้าแรกที่สร้างความแตกต่างในตลาดมีแต่ 3อินวัน แต่ของเรา 36อินวัน เรานำเสนออาหารเสริมในรูปแบบของกาแฟ โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ดื่มกาแฟแต่ได้สารอาหารครบถ้วนแบบนี้เป็นต้น”
ด้านผลกระทบจากโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปัจจุบันนั้น แม้จะส่งผลให้ยอดขายของปี 65 นั้นต่ำกว่าที่คาดไว้คือ 4 พันล้านบาท ซึ่งปี 64 มียอดขาย 4,950 ล้านบาท แต่ในมุมมองของ CEO THE iCON กลับยังเชื่อมั่นว่าภาพรวมของธุรกิจออนไลน์ยังมีแนวโน้มที่จะโตไปได้อีก ซึ่งการลงทุนในการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ธุรกิจออนไลน์นั้น เกิดจากมุมมองที่แตกต่างของ CEO The iCON ที่เชื่อมั่นว่าการให้ความรู้คู่กับการมีกลยุทธ์ที่เหนือกว่า คือความแตกต่างที่นำมาซึ่งผลสำเร็จ