การออกแถลงการณ์ของ “JD CENTRAL” โดยบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ที่ระบุว่า มีความจำเป็นต้องยุติการให้บริการในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของบริษัท JD.com เพื่อมุ่งเน้นในการขยายและพัฒนาธุรกิจในตลาดต่างประเทศโ ดยการสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนข้ามพรมแดนผ่านการกระจายสินค้าและการขนส่งเป็นหลัก ถือเป็นการถอนธุรกิจออกจากประเทศไทย หลังดำเนินการมาได้ 5 ปีเศษ
“JD CENTRAL” เป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล กับ JD.com และ JD Finance ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคอันดับ 2 ของจีน จดทะเบียนเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 4,959,271,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อรุกตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย ก่อนที่จะรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในปี 2564 เพื่อสู้ศึก Lazada และ Shopee
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยจะเติบโตอย่างมาก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่หากมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าผลประกอบการของ JD CENTRAL แม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังคงประสบปัญหาขาดทุน
รายได้รวม ในปี 2560 มีรายได้รวม 522 ล้านบาท, ปี 2561 รายได้รวม 458 ล้านบาท, ปี 2562 รายได้รวม 1,284 ล้านบาท, ปี 2563 รายได้รวม 3,491 ล้านบาท และ ปี 2564 รายได้รวม 7,443 ล้านบาท
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ ปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 3 ล้านบาท, ปี 2561 ขาดทุนสุทธิ 944 ล้านบาท, ปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 1,342 ล้านบาท, ปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 1,375 ล้านบาท และปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 1,930 ล้านบาท
สินทรัพย์รวม ปี 2560 จำนวน 827 ล้านบาท, ปี 2561 จำนวน 1,636 ล้านบาท, ปี 2562 จำนวน 1,526 ล้านบาท, ปี 2563 จำนวน 1,905 ล้านบาทและปี 2564 จำนวน 2,162 ล้านบาท
หนี้สินรวม ปี 2560 จำนวน 3,841,648 ล้านบาท, ปี 2561 จำนวน 939 ล้านบาท, ปี 2562 จำนวน 1,085 ล้านบาท, ปี 2563 จำนวน 1,430 ล้านบาท และปี 2564 จำนวน 2,799 ล้าน บาท
กรรมการ ประกอบด้วย
ขณะที่นายญนน์ โภคทรัพย์ และนายไท จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มเซ็นทรัล ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการเมื่อปี 2566 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2566)