‘เซ็นทรัล รีเทล’ สยายปีกครองค้าปลีก ไทย เวียดนาม อิตาลี

08 ก.พ. 2566 | 08:30 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.พ. 2566 | 11:08 น.

“เซ็นทรัล รีเทล” กางแผนขึ้นเบอร์ 1 ค้าปลีก 3ประเทศ ทั้งไทย เวียดนาม อิตาลี เผยเตรียมงบลงทุน 1.5 แสนล้านบาทใน 5 ปี พร้อมจัดพอร์ตธุรกิจเพิ่มโมเดลใหม่ในครึ่งปีหลัง ขยาย Mini Go! แข่งเซเว่นฯ จ่อพิจารณา “แฟมิลี่ มาร์ท” ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ หลังไม่ตอบโจทย์

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ผู้บริหารธุรกิจค้าปลีกกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาดไว้ แม้จะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และอยู่ในสถานการณ์บอบบาง แต่โดยรวมคาดว่าจะมีการเติบโต 2.9%

ขณะที่ประเทศไทยเองคาดว่าจะมีการเติบโตราว 3.2-3.7% โดยมาจากภาคธุรกิจบริการ ภาคการท่องเที่ยวและภาคค้าปลีก ถือเป็นสวรรค์ของนักลงทุนที่จะทำให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง ขณะที่เวียดนาม ถือเป็นประเทศในแถบเอเชียที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีการเติบโตราว 7% ทำให้เป็นโอกาสของประเทศไทยในการเข้าไปลงทุน

ญนน์ โภคทรัพย์

“การเติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ถือเป็นโอกาสที่ดีของซีอาร์ซี เพราะเรามีการลงทุนใน 3 ประเทศเป็นหลัก และพยายามบาลานซ์ธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ปี CRC Retailligence ผ่าน 4 กลยุทธ์ คือ 1.Accelerate Core Leadership : เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักใน 3 ประเทศ

2. Reinvent Next-Gen Omni Retail : ยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบ

3. Build New Growth Pillars:ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค

4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off : ขยายธุรกิจผ่านการร่วมมือกับพันธมิตร M&A ต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งทำให้ซีอาร์ซี ประสบความสำเร็จ”

โดยเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปี 2570 จะใช้งบลงทุนรวม 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนขยายธุรกิจ และด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก ไม่รวมการซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ (M&A) ขณะที่ในปีนี้ จะใช้งบลงทุนราว 2.8 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะมีรายได้รวม 2.7 แสนล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15%

“ปี 2566 ถือเป็น The Next ERA เชื่อมต่อสู่ The Next Sustainable Growth ภายใต้ 4 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง โดยการลงทุน 2.8 หมื่นล้านจะแบ่งเป็นการลงทุนในประเทศไทย 70-75% และ 25-30% เป็นการลงทุนในต่างประเทศ (เวียดนามและอิตาลี) หากแบ่งเป็นการลงทุนตามกลุ่มธุรกิจ จะเป็นการลงทุนในกลุ่มแฟชั่น 45% กลุ่มฟู้ด 35% และกลุ่มฮาร์ดไลน์ 25%”

‘เซ็นทรัล รีเทล’ สยายปีกครองค้าปลีก ไทย เวียดนาม อิตาลี

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของซีอาร์ซี มาจากในประเทศไทย 60% เวียดนาม 30% และอิตาลี 4-5% อย่างไรก็ดีการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนธุรกิจโมเดิร์นเทรดมีมูลค่าราว 5% ในอีก 10 ปีข้างหน้าสามารถเติบโตเป็น 20-30% ดังนั้นจึงยังมีโอกาสอีกมากของซีอาร์ซีในการเข้าไปลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาซีอาร์ซี ขยายการลงทุนต่อเนื่อง

‘เซ็นทรัล รีเทล’ สยายปีกครองค้าปลีก ไทย เวียดนาม อิตาลี

ทั้งในรูปแบบมอลล์ ภายใต้ชื่อ “GO!” ซึ่งมีการขยายสาขาใหม่ 5-7 สาขา/ปี รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้ชื่อ “GO” มีแผนขยายสาขาใหม่ 5-8 สาขาต่อปี และรีโนเวต 10 สาขา รูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้ชื่อ Tops market และ Mini Go! โดยจะขยายสาขาใหม่ 8-10 สาขา และรูปแบบฮาร์ดไลน์ ภายใต้ “เหงียนคิม” โดยเป็นการขยายสาขาใหม่ 5 แห่ง และรีโนเวตอีก 10-12 แห่ง

นายญนน์ กล่าวว่า หลังประสบความสำเร็จจากการขยายสาขา Mini Go! ในเวียดนาม ทำให้ซีอาร์ซีนำโมเดลดังกล่าวมาทดลองเปิดให้บริการในเมืองไทย โดยทดลองเปิดไปแล้ว 4 สาขาที่จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งพบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดย Mini Go! มีสินค้ากว่า 1.2 หมื่นรายการ เน้นจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว โดยเปิดให้สินค้าท้องถิ่นเข้ามาวางจำหน่าย

รวมกับสินค้าแบรนด์ที่มีราคาจับต้องได้ ซึ่งเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน ด้วยจุดเด่นที่ไม่ต้องสต็อกสินค้า ไม่ต้องใช้ศูนย์กระจายสินค้า (ดีซี) ทำให้ลงทุนง่าย โดยบริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 10 สาขาในปีนี้ และอนาคตยังสามารถต่อยอดสู่ B2B ได้ด้วย นอกจากนี้ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโมเดลค้าปลีกใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาซึ่งโมเดลนี้จะใช้ลงทุนทั้งในไทยและเวียดนามด้วย

‘เซ็นทรัล รีเทล’ สยายปีกครองค้าปลีก ไทย เวียดนาม อิตาลี

ขณะที่การลงทุนขยายสาขาของร้านแฟมิลี่ มาร์ทนั้น นายญนน์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าร้านค้าปลีกไซส์เล็กที่มีพื้นที่ 150 ตร.ม. หรือขนาด 1-2 ห้องนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ขณะที่หลายแบรนด์เริ่มขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้บริการลูกค้าได้หลากหลายและทั่วถึง ดังนั้นหากพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป เราก็ต้องปรับตัวรองรับ ซึ่งขณะนี้ยังรอดูว่าจะมูฟอย่างไรต่อไป

“ภาพรวมของซีอาร์ซีในปี 2565 เติบโตราว 20% ถือเป็นสัญญาณที่ดี หลังจากที่ไตรมาส 4 เติบโตถึง 12% ขณะที่ในไตรมาส 1/2566 กระแสตอบรับดี ส่งผลให้เติบโตกว่า 12.5% รวมทั้งอานิสงส์จากช้อปดีมีคืน สร้างยอดขายได้ราว 2-3% อย่างไรก็ดี มองว่าการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อออกมา เช่น ช้อปดีมีคืน จะโฟกัสไปที่กลุ่มคนที่มีรายได้สูงเป็นหลัก ซึ่งกลุ่มนี้สามารถอัดฉีดได้ต่อเนื่องในหลากรูปแบบ

ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถเพิ่มการจับจ่ายให้เกิดขึ้น ผ่านการทำภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เป็น Tax Fee Zone ได้ ซึ่งได้เสนอให้รัฐบาลทดลองทำ ส่วนสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังในปีนี้ คือ ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงเรื่องของสงคราม ที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจถือว่าดี”

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,860 วันที่ 9 - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566