K-Food ฮ็อตไม่เลิก “A-BEST” ปั้น “bibigo” ชิงเบอร์ 1 อาหารเกาหลี

นายชยะพงส์ นะวิโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ-เบสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน k culture มาแรงและได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะ10ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ K-POP,K-DramaและK-Food สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งK-POP,K-Drama เป็นช่องทางสร้างการรับรู้อาหารเกาหลีในคนไทยและสร้างกะแสกินตามซีรีย์อย่างมาก ขณะที่อุตสาหกรรมอาหารเกาหลีในไทยเอง ไม่ได้จำกัดเฉพาะการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบจากเกาหลีโดยตรงเท่านั้น สินค้าบางชนิดสามารถผลิตในประเทศไทยได้เพราะฉนั้นอุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเติบโตได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย

สำหรับ “A-BEST” ปัจจุบันเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและกระจายสินค้าอาหารสดในประเทศไทยกว่ามากกว่า 20 ปี โดยเน้นไปที่ผักและผลไม้วางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศและในเชนของคอนวีเนียน สโตร, ซูเปอร์มาร์เก็ต และ กูร์เมต์ มาร์เก็ตทั่วประเทศ และผลิตผัก-ผลไม้ตัดแต่งให้กับโรงพยาบาลและเชนร้านอาหารที่เน้นความเฮลตี้และความสะดวก

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราเริ่มมองหาพันธมิตรใหม่ๆ มาต่อยอดธุรกิจบวกกับกะแสอาหารเกาหลีมาแรง เราจึงเปิดตัวแบรนด์ “bibigo” เพื่อนำอาหารเกาหลีและวัตถุดิบเข้ามาจำหน่ายในไทยโดยจับมือกับ CJ FOODS KOREA ที่เป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการอาหารเกาหลี เพื่อพยายามจะนำสินค้าเข้ามาอยู่ใน“bibigo”ให้มากที่สุดนำร่องโดย “กิมจิ” ซองแดง ซึ่งปีที่ผ่านมาเราสามารถกระจายสินค้าไปกว่า 1 ล้านชิ้นใน SKU เดียว 

พร้อมกับทำแคมเปญการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนทาง CJ เห็นศักยภาพในการทำการตลาดของเราจนเกิดการ JV ครั้งใหม่ โดย CJ เข้ามาซื้อหุ้นบางส่วนในบริษัท “A-BEST” ตอนนี้มีการเซ็น MOU เรียบร้อยแล้วและอยู่ในขั้นตอนจัดการภายในน่าจะ complete ทั้งหมดภายในเดือนหน้า ดังนั้นนอกเหนือจากการนำเข้าสินค้าและกระจายสินค้าแล้ว ตอนนี้เรายังทำการตลาดร่วมกันและในอนาคตจะมีการผลิตสินค้าในประเทศไทยด้วย”

สำหรับการตลาด บริษัททุ่มงบกว่า  50 ล้านบาท ในการทำตลาดเชิกรุกเพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) ผ่านการเข้าเป็นสปอนเซอร์หลักของเทศกาล Korean Culture ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อให้แบรนด์เข้าถึงคนที่ชื่นชอบวัฒนธรรมเกาหลีให้มากขึ้นในหลายๆมิติ ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 เป็นเรื่องของ k drama โดยดึง “พัคซอจุน” นักแสดงชื่อดังของเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการตลาดทั้ง Online และ Offline และกลยุทธ์สุดท้ายคือความอร่อย หลังจากใช้เวลาศึกษาและทำความเข้าใจรสชาติที่ผู้บริโภคคนไทยชื่นชอบ ในอนาคตอาจมีการปรับทั้งสินค้าและรสชาติเพื่อให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น

“เราตั้งเป้าการเติบโตปีละ 40-50% ภายในระยะเวลา 3 ปี ในครึ่งปีแรก2566 เราจะโฟกัสสินค้านำเข้าเป็นหลัก  เช่นกิมจิ, มันดู (เกี๊ยวเกาหลี), ซอสเกาหลี และ น้ำพริกเกาหลี ภายใต้ CJ Group  กว่า 100 รายการส่วนครึ่งปีหลังจะโฟกัสเซกเมนต์สินค้าที่คาดว่าน่าจะใช้ไทยเป็นฐานผลิตได้ หลักๆเรามองไว้ 3 กลุ่มคือ สินค้าอุณหภูมิห้องเช่น ซอส สินค้าready to eat  ข้าว

กลุ่มที่ 2 สินค้าที่อยู่ในตู้เย็นเช่นกิมจิ เต้าหู้ ไชเท้าและ3 สินค้าแช่แข็ง ซึ่งเติบโตอย่างมากในช่วงโควิดเพราะคนซื้อไปทดลองสินค้ามากขึ้นและขยายมาทดลองสินค้าอื่นๆของ CJ มากขึ้นด้วยและจะช่วยดันให้ยอดขายเติบโตได้ตามเป้าซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้กว่า 300ล้านบาท และทำให้ภาพรวมของตลาดอาหารเกาหลีในประเทศไทยโตขึ้นแบบก้าวกระโดด”