thansettakij
“ซันโทรี่”ตรึงราคา "เป๊ปซี่" ทุ่มพันล้านสู้ศึกชา-ชูกำลัง

“ซันโทรี่”ตรึงราคา "เป๊ปซี่" ทุ่มพันล้านสู้ศึกชา-ชูกำลัง

27 มี.ค. 2566 | 21:49 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มี.ค. 2566 | 11:56 น.

“ซันโทรี่” พร้อมตรึงราคา “เป๊บซี่” แม้ภาษีน้ำตาล-ต้นทุนพลังงานพุ่งกระฉูด 30% ทุ่มพันล้าน เพิ่มความเข้มข้นพอร์ตเครื่องดื่มยกแผง ต่อเกมเครื่องดื่มนอน-คาร์บอเนต ทั้งชา-ชูกำลัง ตั้งเป้าโต 2 เท่า

ภายหลังการร่วมทุนธุรกิจของสองยักษ์ใหญ่ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น และ บริษัทเป๊ปซี่โค อิงค์ ผู้นำระดับโลกในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจากประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2561 ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาผู้บริการยิ้มรับว่าผลการดำเนินงานเกินเป้าหมาย โดยเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 5.9% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ถึง 3 เท่า 

นายอชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด นายอชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด

นายอชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 5.9% ซึ่งเติบโตมากกว่าตลาด 3 เท่าและยังสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มสุขภาพกลุ่มน้ำตาลน้อยและกลุ่มที่ไม่มีน้ำตาลมาได้2.6%  โดยเฉพาะเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาลที่เติบโตมากถึง19% ขณะเดียวกันเครื่องดื่มสุขภาพมีอัตราการเติบโตสูงถึง 50% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายพอร์ตสินค้าทั้งกลุ่มชาแบรนด์ทีพลัส (TEA+) กาแฟBOSS Coffee และเครื่องดื่ม Energy Drink แบรนด์ "ร็อกสตาร์" ในกลุ่มไม่มีน้ำตาลเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง

 

ขณะเดียวกันมีการเติบโตของช่องทาง E-commerce เพิ่มเป็น 2 เท่าพร้อมๆขยายฐานคู่ค้าทั่วประเทศ ทั้ง Modern Trade,Traditional Tradeและเครือข่ายร้านอาหาร ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพและมุ่งสู่ความยั่งยืน โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิต 600 ล้านลิตรต่อปีหรือ 800 ขวดต่อนาที ในขณะที่มีการใช้น้ำเพียง 1.4 ลิตรสำหรับการผลิตสินค้า 1 ลิตร 

“ซันโทรี่”ตรึงราคา "เป๊ปซี่" ทุ่มพันล้านเพิ่มความเข้มนอน-คาร์บอเนต “ซันโทรี่”ตรึงราคา "เป๊ปซี่" ทุ่มพันล้านเพิ่มความเข้มนอน-คาร์บอเนต

สำหรับปี 2566 นี้บริษัทจะดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ สู่การเป็น “บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง”ทั้งการรุกตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมพลัสเป็นทางเลือกสุขภาพและต้องการความสดชื่น เสริมความแข็งแกร่งของตลาดชาและกาแฟพร้อมดื่ม และขยายการเติบโตในกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงาน

 

ภายใต้หลักการ GEMBA: เข้าถึงและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค คู่ค้า พนักงาน และสังคมอย่างแท้จริง

YATTE MINAHARE: มีจิตวิญญาณของผู้กล้าลงมือทำ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และความท้าทายในทุกรูปแบบ

และ AGILE MINDSET: ปรับตัวอย่างฉับไวให้ทันต่อทุกสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลง พร้อมสานต่อกลยุทธ์ “Must Win Battle” 

 

“สำหรับ Key strategy ปี2023 นี้เราวางกลยุทธ์ 5 ส่วนคือ 1การสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจน้ำอัดลม 2 การ expand ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดใหม่ด้วยวิธีการใหม่ๆ ตั้งแต่การผลิตไปถึงการจัดจำหน่าย 3 การสร้างการเติบโตไปพร้อมกับคู่ค้า และในปีนี้เราจะล๊อนซ์ แพกเกจใหม่rPET หรือขวดพาสติกรีไซเคิลได้ 100% โดยจะนำมาใช้บรรจุผลิตภัณฑ์ในสัดส่วน17% ของพอร์ตเครื่องดื่มทั้งหมดในปี2030 ทั้งนี้ยอมรับว่าจะทำให้ต้นทุนแพกเกจจิ้งสูงขึ้น 20-30% และสุดท้ายเราให้ความสำคัญกับการองค์กร สร้างวัฒนธรรมและสร้างคน”

“ซันโทรี่”ตรึงราคา "เป๊ปซี่" ทุ่มพันล้านเพิ่มความเข้มนอน-คาร์บอเนต “ซันโทรี่”ตรึงราคา "เป๊ปซี่" ทุ่มพันล้านเพิ่มความเข้มนอน-คาร์บอเนต

ทั้งนี้ผู้บริหารกล่าวต่อไปว่านอกจาก ต้นทุนของแพกเกจจิ้งแบบ rPET จะมีผลต่อต้นทุนของสินค้าแล้ว บริษัทยังได้รับผลกระทบจากมาตราการจัดเก็บภาษีน้ำตาลระยะที่ 3 ที่เริ่มเก็บตั้งแต่ 1 เมษายน 2566 - 31 มีนาคม 2568 มีอัตราเก็บภาษีที่ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร และปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร 

 

รวมทั้งราคาน้ำตาลและค่าพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 7% แต่อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะยังคงตรึงราคาสินค้าและจะพิจราณาขึ้นราคาสินค้าเป็นทางเลือกสุดท้าย เบื้องต้นบริษัทจะพยายามมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพและใช้ กลยุทธ์อื่นๆ รวมถึงการจัดการต้นทุนกระบวนการผลิตเข้ามาบริหารจัดการก่อน

 

“ในปี2023 นี้เราตั้งเป้าเติบโต 2 เท่าของตลาดรวมหรือเติบโต 4-6% จากตลาดรวมที่เติบโตในระดับ 2-3% โดยเครื่องดื่มน้ำอัดลมยังกินสัดส่วนสูงที่สุด 30% ของตลาดเครื่องดื่มโดยรวมมูลค่า1.5แสนล้านบาท เราให้ความสำคัญกับสินค้าในทุก category ทั้งที่อยู่ในตลาดมานานหรือ category ที่กำลังเข้าสู่ตลาดใหม่ โดยใช้งบลงทุนทั้งปีประมาณ 1,000 ล้านบาท”

นายอนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด นายอนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด

ขณะที่นายอนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการติดตามเทรนด์ผู้บริโภคทุกวันและเห็นทิศทางพฤติกรรมการบริโภคที่มีนัยยะสำคัญคือ 1 ความสมดุลระหว่าง Homeและ out of home แม้ว่าหลังโควิดผู้บริโภคจะกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้นแต่ผู้บริโภคก็ยังให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในบ้านมีการรับประทานอาหารในบ้านมากกว่าช่วงก่อนโควิด 

 

2 เทรนด์คนรักสุขภาพมากขึ้น เลือกทานอาหารเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยลง ทานผักและผลไม้และออกกำลังกายมากขึ้น 3 มองหาประสบการณ์ใหม่ๆทำให้ชีวิตน่าอยู่  4 โลกของออมนิแชนแนลเติบโตขึ้นตามการขยายตัวของมาร์เก็ตเพลส และPlatform ต่างๆที่ทำให้ใช้ชีวิตสะดวกขึ้น  5 ความยั่งยืนที่เกิดขึ้นเร็วและมาแรงและ 6 คนคำนึงถึงการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า 

 

ขณะเดียวกันเทรนด์เครื่องดื่มโคลาในปีนี้  โคลาน้ำดำยังเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ของตลาดและจะเติบโตต่อไปซึ่งบริษัทมั่นใจว่าเป๊ปซี่จะยังมีความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเครื่องดื่มโคลาเพื่อสุขภาพหรือไม่มีน้ำตาลมีการเติบโต 2 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่น้ำอัดลมพลัสที่มีส่วนผสมของวิตามินหรือ เอนเนอร์-จี มีสีสันมากขึ้น เกิดโพรดักซ์ใหม่ๆเข้ามาในตลาดมากขึ้นท่ามกลางความสนใจของผู้บริโภค รวมทั้งตลาดเครื่องดื่ม RTD มีการเติบที่น่าสนใจโดย ชาเติบโต 23% และกาแฟเติบโต 11% สุดท้ายเครื่องดื่มให้พลังงานคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตเยอะที่สุด

 

“กลยุทธ์การเติบโตของเราในปีนี้ เราจะเพิ่ม portfolioและสินค้าของเรา โดยเฉพาะพอร์ตโคลาที่กำลังมาแรง เพราะฉนั้นเป๊ปซี่จะต้องแข่งขันได้และเติบโตได้ใน segment ใหญ่ ตอนนี้เราเติบโตมากกว่าตลาดพอสมควรเราต้องรักษาการเติบโตนี้ไว้ ส่วนกลุ่มชาและกาแฟเรายังเติบโตและจะโพรดักซ์ใหม่ๆเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่องรวมทั้งเครื่องดื่มให้พลังงานที่จะมีสีสันมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ 

นอกจากการมีสินค้าใหม่ๆจากการทำวิจัยจนเข้าใจผู้บริโภคแล้ว เรายังจะสร้างการรับรู้ผ่าน 22 แคมเปญที่จะเกิดขึ้นในปีนี้  รวมทั้งสร้างEngagement ผ่านกิจกรรมต่างๆเช่น แจกชิม การใช้สื่อและ KOL สุดท้ายคือการเชิญชวนให้ซื้อผ่านโปรโมชั่นต่างๆ 

และในส่วนของแผนการลงทุนระยะยาวหรือแผนการลงทุน 5 ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนทั้งในแง่ของ Marketing  แบรนด์ใหม่ การสร้าง consumer experience และการลงทุนใน Machine AI และเทคโนโลยีต่างๆ”