โลดแล่นอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มานานสำหรับ “รีน่า อุดมคุณธรรม” ทายาทของ “มานิต อุดมคุณธรรม” อดีตซีอีโอห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีลิเชี่ยน ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด โดยรีน่ารั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ และเป็นผู้จัดการโครงการสวอนเลค จากจุดเริ่มการมองหาที่ดินแปลงงามเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ ทำให้ค้นพบ “บ่อน้ำร้อน”ใต้ดินที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุโดยบังเอิญ
จุดนี้ทำให้บิดาอย่าง “มานิตย์” เล็งเห็นว่าอาจเป็นโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ซึ่ง “รีน่า” ยอมรับว่าเอ่ยปากปฏิเสธและปักธงจะไม่ทำธุรกิจนี้เด็ดขาดเพราะเป็นตลาดที่แข่งขันสูง
โควิดคือจุดเปลี่ยนจาก “Onsen Hotel” สู่ “6ty Degrees” น้ำแร่ธรรมชาติ เมดอินเชียงดาว
“เราไม่ได้ตั้งใจจะทำน้ำดื่มเพราะน้ำดื่มเป็นตลาดที่แข่งขันค่อนข้างสูง เรามาที่เชียงดาวเพื่อหาที่ดินสำหรับทำโรงแรมและโครงการเรียลเอสเตทภาคเหนือ แต่เชียงใหม่ค่อนข้างแออัดเราจึงขยับขึ้นมาที่เชียงดาว ในวันที่สำรวจที่ดินเราพบว่ามีไอน้ำลอยขึ้นเหนือแม่น้ำ เพราะน้ำมีอุณหภูมิสูงแต่กลับไม่มีกลิ่นกำมะถันเหมือนบ่อน้ำร้อนทั่วไป เราจึงให้ความสนใจซื้อที่ผืนนี้โดยความตั้งใจแรกเริ่มคือทำ “Onsen Hotel” แต่หลังจากส่งน้ำไปตรวจคุณภาพที่สถาบันรับรองแร่ธาตุ ได้แก่ SGS ประเทศออสเตรเลีย INTERTEK ประเทศอังกฤษ และ ALS ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผลที่ได้คือเซอร์ไพรซ์มากเพราะเราไม่คิดว่าน้ำในประเทศไทยจะมีแร่ธาตุที่ดีมาก คุณภาพน้ำบริสุทธิ์มาก และปริมาณแร่ธาตุอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสมดุลกับสุขภาพของคน”
แม้ผลทดสอบที่ได้จะการันตรีคุณภาพแต่ “รีน่า”จะยึดหมุดเดิมคือไม่ทำธุรกิจน้ำดื่ม แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ โควิด ที่ธุรกิจหยุดชะงัก และคุณพ่อ จุดประกายแนวคิดว่าคนไทยทุกวันนี้ดื่มน้ำจากก๊อกไม่ได้ จำเป็นต้องซื้อน้ำมาบริโภค และทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำ RO หรือใช้เครื่องกรองและถ้าหากต้องการดื่มน้ำที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจะต้องไปซื้อน้ำที่มีราคาแพงขึ้นมาหน่อย “เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าเรามีน้ำที่ดีที่ธรรมชาติให้มาขนาดนี้ทำไมรีน่าถึงไม่ทำ”
จากคำถามของคุณพ่อท้ายที่สุด พ่อ-ลูก อุดมคุณธรรมตัดสินใจตั้ง บริษัท แร่เบฟเวอเรจ จำกัด เพื่อผลิตน้ำแร่จากแหล่งน้ำพุร้อนใต้ดินแห่งแรกของไทย ความลึกกว่า 200 เมตร และมีอุณหภูมิ 60 องศา กำลังการผลิตปัจจุบัน 8.5 แสนขวดต่อวัน และเริ่มทยอยวางจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ “ซิกตี้ ดีกรี”(6ty Degrees) สู่ตลาดตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
“ธุรกิจน้ำดื่มเป็นธุรกิจที่ 4 ของครอบครัวประกอบไปด้วย Retail-Real Estate-Hotelและน้ำแร่ธรรมชาติ ในการทำธุรกิจใช้โชค 80% ความเก่ง 20% เราได้โชคมาแล้วที่เหลือก็อยู่ที่ว่าจะใช้ความสามารถที่มีทำยังไงกับโชคที่ได้มา พื้นที่ตรงนี้บริษัทซื้อและเก็บไว้ประมาณ 300 ไร่ หั่นออกมา 18 ไร่เพื่อทำโรงงานใช้งบไปแล้วกว่าพันล้านบาทสำหรับก่อสร้างโรงงานและลงเครื่องจักรที่ทันสมัยและคุณภาพดีกว่าที่ในตลาดใช้กัน โรงงานของเราผลิตน้ำได้ประมาณ 8.5 แสนขวดต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นวอลลุ่มที่ค่อนข้างเยอะแต่กำลังการผลิตสูงสุดของเราอยู่ที่ 1 ล้านขวดต่อวัน ใช้คนควบคุมไลน์การผลิตเพียง 5 คนเพราะในโรงงานใช้ระบบFully Automation”
ปักธง 3 ปีขอเป็นลีดเดอร์ มาร์เก็ต น้ำแร่ธรรมชาติ
ปัจจุบันมูลค่าตลาดน้ำแร่อยู่ที่ราวๆ 4,000 ล้านบาทเติบโต 8-10%ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ทรงตัวและไม่ค่อยสูงนักเพราะต้องยอมรับว่า ในตลาดน้ำแร่ไม่มีproduct ใหม่ๆหรือผู้เล่นใหม่ๆเข้ามในตลาดทำให้มีใครผลักดันตลาด ดังนั้นการมีผู้เล่นเดิมๆหรือไม่มีสิ่งใหม่ๆเข้ามาในตลาดก็จะทำให้ตลาดทรงตัวเป็นปกติของอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันผู้เล่นหลักในตลาดน้ำแร่ในไทยมีอยู่ 4 แบรนด์โดยมาร์เก็ตแชร์เบอร์ 1 เป็นของเพอร์ร่าตามด้วยมิเนเร่ มองต์เฟลอ และออร่าส่วนแบรนด์ต่างประเทศยังมีสัดส่วนอย่างน้อยเพราะราคาค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ “รีน่า” วางเป้า 6ty Degrees ในตำแหน่งเบอร์ 3 ของตลาดภายใน 3 ปี นั่นหมายความว่า 6ty Degrees จะต้องเบียดมองต์เฟลอและออร่า เพื่อขึ้นเป็น TOP 3 ของตลาดให้ได้ เพื่อไปให้ถึงเป้าในช่วงแรกของการล๊อนซ์โพรดักซ์สู่ตลาด รีน่า ใช้งบสำหรับการตลาดไปมากถึง 100 ล้านบาท
“การที่จะเป็นลีดเดอร์ในตลาดจะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง สำคัญที่สุดคือคุณภาพของสินค้า เทคโนโลยีที่ใช้ และลูกค้า สิ่งที่เราคอนเซิร์นคือจะเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้อย่างไรและจะทำอย่างไรให้ลูกค้าคิดถึงเราเป็นแบรนด์แรก เราทำระบบรอยัลตี้โปรแกรมและจัดส่งถึงบ้านเมื่อสั่งสินค้า 5 แพ็คขึ้นไป และสิ่งที่จะต้องทำเลยก็คือ innovation ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือทางการตลาดก็ตาม และแน่นอนสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องทำคือความยั่งยืน โจทย์ของเราคือทำธุรกิจควบคู่ไปการรักษาความยั่งยืนของธรรมชาติ จะเห็นว่าในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเราพื้นที่ 80% เป็นต้นไม้และส่วนกลาง พื้นที่ก่อสร้างจริงๆแค่ 18% กว่าๆ ซึ่งตอนนั้นที่เราทำมีแต่คนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ “เจ๊งแน่นอน” แต่พอเราทำจริงๆสุดท้าย Revenues จะกลับมาเอง
ธุรกิจน้ำแร่ก็เหมือนกันตอนที่เราทำคุยเรื่องราคาเป็นสิ่งที่เราคิดเยอะพอสมควรเพราะแม้น้ำของเราจะได้คุณภาพเทียบเท่าแบรนด์ต่างประเทศ แต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาดังนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่จะส่งต่อสิ่งดีๆเหล่านี้ให้คนไทย ทำให้ราคาของที่ออกมาคนค่อนข้างเซอร์ไพรส์คือขนาด520 ml. ราคา 12 บาท และ ขนาด 1250 ml. ราคา 20 บาท เพราะคุณพ่อมักจะพูดเสมอว่าต้องให้คนไทยสามารถดื่มได้ทุกวัน ทุกอย่างที่ใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์นี้ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์พรีเมียม ฝาขวดรักษ์โลก ขวดและฉลากดีไซน์รูปแบบพิเศษเพราะเราต้องการสื่อสารว่าเราเป็นแบรนด์ Lifestyle เหมาะกับคนรุ่นใหม่ และเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพจริงๆเพราะฉะนั้นต้นทุนของเราจะสูงกว่าและคาดว่าน่าจะคืนทุนภายใน 5 ปีนานกว่าธุรกิจโรงแรมที่คืนทุน 3 ปี”
เตรียมแตกไลน์ขวดแก้ว-สปาร์คกลิ้ง ป้อนHoReCa-ส่งออกต่างประเทศ
เบื้องต้น รีน่า วางช่องทางการจัดจำหน่ายไม้พ้น Retail ในร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ รวมทั้งมีแผนส่งเข้าHoReCa หรือโรงแรม ร้านอาหาร ที่มีการพูดคุยกันหลายร้านแล้ว ในอนาคตอันใกล้จะส่งเข้าในโรงแรมในเครือ โดย chain product ใหม่ที่จะออกสู่ตลาดต่อไปขวดแก้วเพื่อส่งเข้าโรงแรมระดับ 5 ดาวรวมทั้ง สปาร์คกลิ้ง ภายในปลายปีนี้ นอกจากนี้ยังมีพาร์ทเนอร์ต่างประเทศติดต่อมาเพื่อจะนำน้ำแร่ 6ty Degrees ไปจำหน่าย ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์ ซาอุดิอาระเบีย จีน และ อินเดีย
“ในการทำธุรกิจเราคิดเสมอว่าเราจะต้องทำให้ดีที่สุดและ success ที่สุด ดังนั้นเราก็คงจะต้องโฟกัสธุรกิจที่ทำทั้งอสังหาริมทรัพย์และน้ำแร่ แต่โดยส่วนตัวรีน่าชอบทำอะไรใหม่ๆ ตอนนี้เรามี บ่อน้ำร้อน2สำหรับป้อนไลน์ผลิตน้ำแร่ และยังมีสำรวจสำรองบ่อที่ 3 และ 4 ไว้รองรับการผลิตในอนาคต ในส่วนของต่างประเทศคุณพ่อมี Connectionเยอะ ทำให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมโรงงานและค่อนข้างที่จะสนใจนำ product ของเราไปขายในประเทศของเขา ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการพูดคุย ส่วนแผนธุรกิจอื่นๆที่จะต่อยอดจากไลน์การผลิตน้ำแร่ต้องยอมรับว่าอาจเร็วเกินไปที่พูดถึง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น product ที่ดีต่อสุขภาพ ส่วนเฟสต่อไปสำหรับพื้นที่ที่เหลือบนที่ดิน 300 ไร่ เรายังมีความตั้งใจทำ wellness project เพราะฉะนั้นในอนาคตอาจจะมี Residential และโรงแรมเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม”