นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวในงานสัมมนา Thailand Challenge:ความท้าทายประเทศไทย ในหัวข้อ “Thailand Challenge : Opportunity and Position of Thailand ว่า ปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวผ่านวิกฤตที่ลำบากที่สุดมาแล้ว และน่าจะเห็นแสงสว่างมากกว่าธุรกิจอื่น และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง
โดยตัวเลขปี 2566 ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว 19 ล้านคน อันดับ 1. มาเลเซียกว่า 60% ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางข้ามแดนเข้ามา ขณะที่นักท่องเที่ยวจีน มีจำนวนเพียง 2.3 ล้านคน และเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่รัฐบาลใหม่มุ่งเน้นให้ภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต เช่นล่าสุดมีการปลดล็อควีซ่าฟรีให้ตลาดจีน และคาดว่าน่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้ถึง 5 ล้านคนแต่ยังมีความท้าทายในเรื่องของ "จำนวนเที่ยวบิน" ที่ยังน้อย
นอกจากนักท่องเที่ยวจีนแล้ว นักท่องเที่ยวอินเดีย เกาหลี และรัสเซียเป็นกลุ่มที่มาแรงและโดดเด่น โดยรัสเซียไต่ระดับมาอยู่อันดับที่ 5 จากอันดับ 7 แต่เป็นการเข้ามาพำนักยาวโดยเฉพาะในภูเก็ต ดังนั้นอาจจะไม่พักในโรงแรม นอกจากนี้นักท่องเที่ยวเวียดนามเองมีอัตราฟื้นตัวพุ่งกระฉูดถึง 60% ส่วนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมีอัตราฟื้นตัวช้ากว่าเพื่อนแค่ 22% เท่านั้น โดยมีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเอง
อย่างไรก็ตามยังพอมียูนิคอร์นอยู่บ้างอย่างเช่น อิสราเอล ที่มีโอกาสเติบโตอย่างมาก แม้ในระยะแรกนักท่องเที่ยวอาจไม่ได้เดินทางเข้ามาในปริมาณที่เยอะมากนัก ขณะที่ซาอุดิอาระเบีย ตอนนี้มีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินส่งผลให้ปัจจุบัน มีอัตราการเติบโตที่ 300% สังเกตุได้จากในห้างสรรพสินค้ามีนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียและตะวันออกกลางมากขึ้น ซึ่งกลุ่มชื่นชอบฤดูฝน ดังนั้นในช่วงโลว์ซีซั่นท่องเที่ยวของไทยจึงได้ตลาดตะวันออกเข้ามาช่วย
ส่วนนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเองเริ่มมีจำนวนมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักจะเดินทางท่องเที่ยวในภาคใต้ ซึ่งการปลดล็อคฟรีวีซ่าน่าจะทำให้ท่องเที่ยวภาคใต้ได้รับอานิสงส์จากการหนีหนาวเข้ามาอยู่ยาว
"ปีหน้ารัฐบาลต้องการตัวเลขนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนเทียบเท่ากับปี 2019 แต่ต้องการเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลจะต้องสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ส่วนนักท่องเที่ยวไทยแม้จะเที่ยวบ่อยแต่ใช้เงินน้อยลงจากหนี้ครัวเรือนที่เยอะ เพราะฉะนั้นประเทศไทยยังคงพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ส่วนนักท่องเที่ยวไทยอาจสนับสนุนให้ท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น"
ในส่วนของภาคธุรกิจที่พักและโรงแรมในช่วงการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าในปี 2021 อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 9% และมีบางโรงแรมที่ต้องเปลี่ยนไม้เปลี่ยนมือกันไป ในปี 2022 อัตราการเข้าพักเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 40% และคาดว่าในปีนี้อัตราการเข้าพักจะเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60-65% และปี 2024 อัตราการเข้าพักน่าจะกลับเข้ามาเท่ากับปี 2019
อย่างไรก็ตามความท้าทายของภาคการท่องเที่ยวยังคงมีหลายประเด็น ทั้งรายได้กระจุกตัว แต่ตอนนี้เริ่มเห็นโรงแรมที่มีชื่อเสียง มีมาตรฐานขยายตัวและไปเปิดในเมืองรองมากขึ้น
ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งทางสมาคมได้เสนอรับแรงงานต่างชาติที่หลากหลายประเทศมากขึ้นเช่นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ควบคู่ไปกับ การพัฒนาอาชีวศึกษา อุดมศึกษา หรือแม้แต่ปริญญาตรีให้เข้ามาทำงานภาคการท่องเที่ยวภาคการโรงแรมให้ได้ รวมทั้งการเสนอการจ้างงานรายชั่วโมงซึ่งเป็นสิ่งที่สมาคมพยายามผลักดัน
ปัญหาเที่ยวบินไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอินเดียที่ยังไม่อนุญาตให้สายการบินไทยเพิ่มเที่ยวบินในเมืองหลัก เพราะคนไทยไม่ไปเที่ยวอินเดียทำให้เกิดความขาดดุลกันอยู่ แต่อินเดียมีศักยภาพสูงสำหรับการท่องเที่ยวเที่ยวไทยเพราะมีประชากรจำนวนมาก
เรื่องของภาพลักษณ์และความปลอดภัย ที่จะต้องไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว เรื่องของห้องพักที่จองยากและราคาแพง ต้องยอมรับว่าในเรื่องของโรงแรม 5 ดาวและมีคุณภาพยังมีราคาที่แพง แต่โรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กยังมีห้องว่างจำนวนมาก เพราะฉะนั้นรัฐบาลใหม่อาจช่วยโดยการจัดการประชุมและจัดงานในโรงแรมเมืองรองหรือขนาดเล็กมากขึ้น เพราะกลุ่มนี้อาศัยเงินจากการประชุมของภาครัฐเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีปัญหา over supply โดยเฉพาะกรุงเทพฯที่มีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามามากที่สุดของโลก และประเทศไทยจะต้องเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ได้ 70-80 ล้านคนภายใน 5 ปี ดังนั้นจึงมีการทุ่มเงินลงทุนสร้างโรงแรมเพิ่ม คาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีห้องพักเพิ่มในกรุงเทพฯมากกว่า 13,000 ห้อง ทำให้ไม่สามารถรักษาระดับราคาได้โดยเฉพาะระดับ 4-3 ดาวที่มีแนวโน้มแข่งขันด้านราคา
"แขกที่จองที่พักเองมีความคาดหวังสูงขึ้น เพราะฉะนั้นโรงแรมจะต้องมีมาตรฐานการบริการที่ดี ขณะที่เรื่องของกำลังคน แหล่งเงินทุนยังเป็นปัญหาอยู่รวมถึงเทคโนโลยี AI หรือ Big Data ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุน เพราะฉะนั้นโรงแรมที่ด้อยกว่าหรือเงินน้อยกว่าจะมีปัญหา
สุดท้ายเป็นเรื่องของความยั่งยืนทางด้านการท่องเที่ยวแม้จะยังไม่มีกฏเข้ามาบังคับ แต่นักท่องเที่ยวมีความตระหนักมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มไมซ์จะเลือกใช้โรงแรมสีเขียวเท่านั้น"
นายกสมาคมธุรกิจโรงแรมกล่าวต่อไปว่า ส่วนประกอบในการพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต ต้องการคนที่เข้ามาด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเมดิคัลหรือเวลเนส ซึ่งตอนนี้โรงแรมหลายแห่งเริ่มนำคลินิกหรือโรงพยาบาลเข้ามาเสริม ซึ่งตัวเลขของคนที่จะเดินทางเข้ามาในเรื่องของ Wellness จริงจังยังเป็นนิชมาร์เก็ตดังนั้นจะต้องใช้เวลาในการพัฒนา
สิ่งที่น่าสนใจคือผู้สูงวัยมีมากในโลก แต่มิเลนเนียลในเอเชียมีมากถึง 1,000 ล้านคนแบ่งเป็น จีน 300 ล้านคน อินเดีย 300 ล้านคน ที่เหลือรวมกัน 400 ล้านคน คนเหล่านี้ใช้เงินเยอะเป็นวัยทำงานและมีลูกเล็กๆดังนั้นคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มลูกค้าแห่งอนาคต เพราะฉะนั้นเรื่องของเทคโนโลยีอะไรจะสำคัญมากสำหรับนักท่องเที่ยวแห่งอนาคต"