ซูกิชิลุยแฟรนไชส์ ปิ้งย่างโตแรง เน้นนักลงทุนใน-ต่างประเทศ

นายนพดล จิรวราพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูกิชิ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า "บริษัทฯ เตรียมขยายแฟรนไชส์ Sukishi Korean Charcoal Grill ร้านปิ้งย่างและอาหารเกาหลี เพื่อตอบรับกระแสความนิยมอาหารเกาหลีที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจุดแข็งของ Sukishi Korean Charcoal Grill ประกอบไปด้วย

• วัตถุดิบระดับพรีเมี่ยม คัดสรรทั้งในและต่างระเทศ
• สูตรอาหารเกาหลีต้นตำรับ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
• ระบบมาตรฐานสากล ควบคุมคุณภาพและรสชาติอาหาร
• ระบบครัวกลาง มูลค่า 1,000 ล้านบาท
• องค์ความรู้และประสบการณ์ยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ

ปัจจุบันมี 39 สาขา การดำเนินธุรกิจอาหารเกาหลีมาอย่างยาวนานนี้ ทำให้เข้าใจถึงพฤติกรรมผู้บริโภค ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและเห็นภาพในการทำธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น เข้ามาขอข้อมูลเพื่อศึกษาการลงทุน Sukishi Korean Charcoal Grill เป็นจำนวนมาก ประกอบกับเมกะ เทรนด์ (Mega Trend) กระแสความชื่นชอบอาหารเกาหลีที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

บริษัทฯ จึงเตรียมขยายแฟรนไชส์ Sukishi Korean Charcoal Grill ร้านปิ้งย่างและอาหารเกาหลี ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าในปีนี้จะเพิ่มสาขาแฟรนไชส์อย่างน้อย 10 สาขา แบ่งเป็นในประเทศ 8 สาขา กลุ่มประเทศ CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม 2 สาขา

ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาคว้ารางวัลแฟรนไชส์ไทยขนาดใหญ่ยอดเยี่ยม (Best Large Franchise) จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์นอกจากนี้การเปิดธุรกิจแฟรนไชส์นี้ คาดว่าระยะเวลาการคืนทุนของธุรกิจประมาณ 4 ปี รวมถึงบริษัทฯ จะมี Cash Return ตามรอบให้กับนักลงทุนเป็นรายเดือน เพื่อเกิดกระแสเงินสดหมุนเวียนเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ 

นายนพดล กล่าวต่อว่า ธุรกิจร้านปิ้งย่างและอาหารเกาหลีในประเทศไทยยังมีอนาคตที่สดใส โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Sukishi Korean Charcoal Grill จะอยู่ในระดับ B มีอัตราค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารแต่ละครั้งเฉลี่ยต่อหัว 600-800 บาท แม้ว่าปัจจุบันจะมีแบรนด์ธุรกิจร้านปิ้งย่างเกิดขึ้นมากมายก็ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ ในปี 2567 เป้าหมายการเติบโตธุรกิจภาพรวมของซูกิชิอยู่ที่ 24% และธุรกิจแฟรนไชส์อยู่ที่ 36%

สำหรับการเปิดสาขา Sukishi Korean Charcoal Grill ในกลุ่มประเทศ CLMV จะเป็นรูปแบบการร่วมลงทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่น (Joint Venture) และการขายแฟรนไชส์ (Master Franchise) โดยทางซูกิชิเองตระหนักดีว่าการทำตลาดในต่างประเทศมีความแตกต่างจากประเทศไทย จึงมีการศึกษาวัฒนธรรมการกิน ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสื่อสารการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย