ปิดตำนาน 20 ปี Hotpot Buffet ประกาศปิดกิจการ อ่วมขาดทุน

ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก Hotpot Buffet  ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน ได้ออกมาโพสต์ระบุว่า “Hotpot Buffet ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่เข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทางร้านต้องขอปิดตำนาน Hotpot Buffet ไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ”

สำหรับร้าน HOTPOT ก่อตั้งขึ้นในปี 2547 โดยชื่อร้านเดิมคือ “โคคาเฟรช สุกี้” ต่อมาร้านได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ มีจำนวนสาขามากถึง 117 สาขา
แต่ต่อมามีร้านบุฟเฟต์ชาบูเพิ่มขึ้นจำนวนมาก บวกกับสภาพเศรษฐกิจ วิกฤตโรคระบาดอย่างโควิด-19

ส่งผลให้ HOT POT ทยอยปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร โดยในปี 2555 เหลือสาขาทั้งหมด 33 สาขา กระทั่งในปี 2567 เหลือเพียง 4 สาขา 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 นี้ก็ได้ประกาศอำลาลูกค้า ปิดตำนานบุฟเฟต์ดัง

ย้อนอดีต Hotpot Buffet

ในอดีต "ฮอท พอท” (HOT POT) เป็นร้านสุกี้หม้อต้มที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด เติบใหญ่จากร้านสุกี้อะลาคาร์ตในจังหวัดฉะเชิงเทราที่มีชื่อเดิมว่า “โคคาเฟรช สุกี้”

ปัจจุบันถือหุ้นและนั่งเก้าอี้กรรมการบริหารโดยตระกูล “เตชะอุบล” ก่อนขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศรวมกว่า 117 สาขา มีรายได้แตะ 2,000 พันล้านบาท

แต่หลังจากยื่นไฟลิ่ง-เข้าตลาดหุ้นได้ไม่นาน “ฮอท พอท” ก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลง จนปีล่าสุดมีรายได้อยู่ที่ 384 ล้านบาท

ขณะที่กำไร-ขาดทุนสุทธิ “บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลีตี้ จำกัด (มหาชน)” บริษัทแม่ของ ฮอท พอท ติดลบ 214 ล้านบาท โดยมี “ฮอท พอท” เป็นรายได้หลักของบริษัท ด้วยสัดส่วนราว 70 - 80% 

การปิดตัวลงของ Hotpot Buffet คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากการแข่งขันในตลาดสุกี้-ชาบู ในไทยที่เพิ่มสูงขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการขยายสเกลธุรกิจของ “สุกี้ตี๋น้อย” ร้านสุกี้ดาวรุ่ง ผู้ปลุกกระแสบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด รวมถึงร้าน “หมาล่าสายพาน” 

ขณะที่เจ้าตลาด ที่ครองส่วนแบ่งอันดับต้นๆ อยู่แล้ว อย่าง เอ็มเค, โม โม พาราไดซ์, “อากิโยชิ ,ยูแอนด์ไอ,นีโอ สุกี้” ต่างก็จัดโปรโมชั่นกระตุ้นตลาดต่อเนื่อง เพื่อช่วงชิงธุรกิจนี้ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 23,000 ล้านบาท 

ขณะที่ Hotpot Buffet ที่ผ่านมา ก็มีการจัดโปรโมชั่นอย่างรอเนื่อง ขายในราคา 369 บาท แต่ด้วยมีการแข่งขันในตลาดที่สูง จึงไปต่อไม่ได้

รายได้ 5 ปีย้อนหลัง “บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน)” มีรายละเอียด ดังนี้

• ปี 2561: รายได้ 1,544 ล้านบาท ขาดทุน 69 ล้านบาท
• ปี 2562: รายได้ 1,397 ล้านบาท ขาดทุน 158 ล้านบาท
• ปี 2563: รายได้ 701 ล้านบาท ขาดทุน 142 ล้านบาท
• ปี 2564: รายได้ 440 ล้านบาท ขาดทุน 257 ล้านบาท
• ปี 2565: รายได้ 547 ล้านบาท ขาดทุน 214 ล้านบาท