MI GROUP ประเมินสถานการณ์เดือดแบรนด์สาดเงินทำโฆษณาเพิ่ม เดิมทีเม็ดเงินโฆษณาในไทยในปี 2567 คาดว่าจะแตะ 8.8 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 4% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 กว่า 3,400 ล้านบาท ซึ่งในปี 2568 คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดในไทย จะเติบโตขึ้น 4.5% แตะ 9.2 หมื่นล้านบาท โดยมีสื่อดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ด้วยอัตราการเติบโต 15% ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 3.8 หมื่นบาท
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาในปี 2568 ปัจจัยหลักคือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การเปิดประเทศและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยในปี 2568 คาดการณ์นักท่องเที่ยวทะลักเข้าไทยกว่า 40 ล้านคน ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน และแพลตฟอร์มท่องเที่ยว ต่างเพิ่มงบประมาณในการสื่อสารการตลาด
รวมถึงปัจจัยการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องใช้งบประมาณในการสื่อสารการตลาดมากขึ้นเพื่อสร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้า และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ Big Data ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้การเติบโตของสื่อดิจิทัลในปีนี้ได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารการตลาด เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและสร้างความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี
นายนายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป หรือเอ็มไอ กรุ๊ป กล่าวว่า การเติบโตของสื่อดิจิทัลสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนตัวและต้องการข้อมูลที่ตรงกับความสนใจมากขึ้น ทำให้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์เป็นที่นิยมอย่างมาก
จากสถานการณ์โดยรวมดังกล่าว MI GROUP คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดปีนี้มีปัจจัยหลักจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสื่อดิจิทัล (รวมถึงสื่อโซเชียล) ที่โต 15% โดยเป็นสื่ออันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 มูลค่ารวมแตะ 3.8 หมื่นล้านบาท รองลงมาคือสื่อนอกบ้านโต 10% ส่วนสื่อดั้งเดิมหลักถดถอยต่อเนื่อง (ข้อมูลโดย MI LEARN LAB)
อย่างไรก็ตาม ฟันธงส่วนผสมสื่อในปีนี้จะเป็นดังนี้ สื่อดิจิทัล แตะ 45% ในขณะที่สื่อออฟไลน์ โดยรวม 55% ซึ่ง 3 สื่อหลักนี้ คือ สื่อดิจิทัล, สื่อโทรทัศน์ และ สื่อนอกบ้าน ยังมีคงบทบาทสำคัญที่แตกต่างกันต่อการสื่อสารการตลาดแต่ส่งเสริมกัน โจทย์ยากคือจะวางแผนส่วนผสมสื่ออย่างไรให้ประสิทธิภาพและส่งเสริมกันมากที่สุด
หากมองเจาะไปที่สื่ออันดับ 1 อย่างสื่อดิจิทัล สัดส่วนใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่การใช้ “อินฟลูเอนเซอร์” ที่มีตัวตนในแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ โดยในปีนี้ทาง MI GROUP ประเมินจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในไทยน่าจะแตะเฉียด 3 ล้านราย หรือประมาณ 4.5% ของจำนวนประชากรไทย เติบโตจากปี 2567 ที่เดิมอยู่ที่ 2 ล้านราย
อินฟลูเอนเซอร์แบ่งเป็น 5 ประเภทได้แก่ Celebrity & Mega , Macro, Mid-tier, Micro และ Nano โดยการเติบโตหลักมาจาก Micro และ Nano ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง (KOC) และพ่อค้า แม่ค้า นักขาย ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นที่เข้าร่วมทำ Affiliate Marketing กับแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการและแบรนด์ เน้นการสื่อสารการตลาดเพื่อดันยอดขายโดยตรงเป็นหลัก (Lower Funnel Marketing) จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตสูง ในขณะที่การสื่อสารการตลาดที่มุ่งการรับรู้และการสร้างแบรนด์ (Thematic Ad) ยังคงมีความสำคัญแต่แค่เป็นรอง
กลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดเพิ่มขึ้นในปีนี้ ได้แก่ สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการพักผ่อนหย่อนใจ อาทิ โรงแรม สายการบิน แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันท่องเที่ยว ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และโบรกเกอร์ประกัน วิตามิน อาหารเสริม และยา โฆษณาจากภาครัฐ การขนส่ง เช่น บริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ อาหารและสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
ทั้งนี้กลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดลดลงในปีนี้ ได้แก่ E-Marketplace เช่น Shopee, Lazada เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น้ำอัดลม กาแฟ ร้านอาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,069 วันที่ 9 - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568