MINT สตาร์ทปี 2566 ลุย 3 กลุ่มธุรกิจ โรงแรม อาหารและไลฟ์สไตล์ รับดีมานด์ท่องเที่ยวฟื้นตัวทั้งขยายในประเทศและข้ามประเทศ พร้อมคงสภาพคล่องรักษากระแสเงินสดควบคู่การบริการหนี้เพื่อลดดอกเบี้ย
นาย ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “MINT” เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกเริ่มมีการเปิดประเทศ มีการฟื้นตัวจากโควิดและมีการทำกิจกรรมทางธุรกิจและทางเศรษฐกิจเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะเดียวกันแม้ภาพรวมจะฟื้นตัว แต่ยังมีปัจจัยท้าทายหลายๆประเด็น เช่นค่าพลังงานในยุโรป อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เงินเฟ้อ ค่าครองชีพ
แต่สำหรับ "ไมเนอร์" ในปี2565 ที่ผ่านมาได้รับผลบวกจากฟื้นตัวของภาคธุรกิจและท่องเที่ยวชัดเจน สะท้อนผ่านผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3 ที่เกิดการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ต่างๆแม้จะยังไม่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาก็ตาม แต่ยังได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของทั้งอเมริกาและอินเดียหรือเอเชีย รวมทั้งการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งการจัดงานเสวนาหรืออุตสาหกรรมไมซ์ ไม่ใช่แค่ภาคท่องเที่ยวเชิงสันทนาการเท่านั้น ประกอบกับประเทศไทยเป็นTop Destination ของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาใช้จ่าย เช่นเดียวกับธุรกิจในมัลดีฟและออสเตรเลียที่กลับมามีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเช่นกัน”
“ในปี2565ที่ผ่านมา ผลประกอบการของเราค่อนข้างแข็งแกร่งมากในทุกเซกเมนต์ จากการเพิ่มราคาเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและเพียงพอที่จะทำกำไร ตอนนี้สายการบินทั้งหลายยังไม่สามารถนำนักท่องเที่ยวกลับมาได้ทันท่วงที เพราะฉะนั้นการขึ้นราคาห้องพักยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ แต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปีที่ผ่านมาเราสามารถทำรายได้เทียบเท่าก่อนโควิดได้แล้ว และในช่วง 9 เดือนแรกของปี2565 Revenuesเราเติบโต 80% และแม้ว่างบการเงินไตรมาส4ยังไม่ออก แต่เรามั่นใจว่าไตรมาส 4 ผลประกอบการจะแข็งแกร่งต่อเนื่องจากไตรมาส3 และภาพรวมทั้งปี2565จะแข็งแกร่งต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้”
สำหรับปี 2566 นี้บริษัทตั้งเป้า "กลับสู่การเติบโต" (Back to growth) ภายใต้แผนดำเนินงาน 3 ปี โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมต้อนรับการกลับมาเปิดพรมแดนระหว่างประเทศและการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ในฐานปฏิบัติการของบริษัททั่วโลก สำหรับประเทศไทยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจากราว 11 ล้านคนในปี 2565 เป็น 22 ล้านคนในปี 2566 และเพิ่มขึ้นอีกหลังจากจีนเปิดประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา และจะส่งผลดีต่อทุกกลุ่มธุรกิจของ MINT
สำหรับกลุ่มธุรกิจ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ปัจจุบันไมเนอร์เป็น Top10 Global player จากการจัดการ Portfolio ค่อนข้างดีและมีฐานลูกค้าที่ดี โดยเฉพาะในยุโรปที่ฟื้นตัวค่อนข้างแรงและเร็ว ส่วนมัลดีฟเป็นประเทศแรกที่เปิดประเทศระหว่างโควิด ทำให้ผลประกอบกลับมาเทียบเท่าหน้าก่อนโควิดเป็นอันดับแรก ขณะที่ตะวันออกกลางมีการฟื้นตัวที่ดีเพราะมีสายการบินที่เปิดบริการมากขึ้นทำให้คนหลั่งใหลเข้าไปเที่ยวจำนวนมาก ส่วนออสเตรเลียเองปีที่แล้วได้รับการตอบรับที่ดีจากการเดินทางหลังโควิด
สุดท้ายฝั่งเอเชีย เช่นประเทศไทยแม้ว่าการเปิดประเทศอาจล่าช้ากว่ายุโรปหรือมัลดีฟแต่นับว่าไม่น้อยหน้าใคร แม้ว่าตอนนี้นักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาไม่มากแต่เริ่มเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาอย่างชัดเจนโดยเฉพาะภูเก็ต จากนโยบาย“ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” (Phuket Sandbox) ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวก่อนใคร ส่วนภูมิภาคอื่นๆอาจจะยังไม่เห็นการเดินทางหรือผลประกอบการที่ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสายการบินต่างๆ ยังเปิดบริการได้ไม่เต็มที่ทุกเส้นทาง แต่เชื่อว่าเมื่อมีการเปิดเส้นทางการบินและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น ไมเนอร์จะได้รับผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผลประกอบการตอนนี้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องแซงหน้าช่วงก่อนโควิดไปเรียบร้อยแล้วโดยเฉพาะในมัลดีฟส์ ออสเตรเลียและไทย
ด้านกลุ่มธุรกิจ ไมเนอร์ ฟู้ด ยังมีความแข็งแกร่งธุรกิจอาหารส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารนั่งทานประเภท casual dining restaurant และสามารถทำกำไรติดต่อกัน 9 ไตรมาสจากการมีบริการ Delivery เข้ามาช่วย ส่งผลต่อเนื่องให้ช่วง 9 เดือนแรกปี2565 รายได้เติบโตก้าวกระโดดมากกว่า 30% ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิเติบโต 4 เท่าของปีก่อนหน้า โดยมีธุรกิจอาหารในไทยและออสเตรเลียเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ไม่รวมกับประเทศจีนปิดบริการจากการล็อกดาวน์โควิด ซึ่งคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของจีนค่อนข้างแรงหลังจากที่โควิดผ่านไป
นอกจากนี้ ไมเนอร์ ยังใช้กลยุทธ์การคิดสินค้าใหม่ๆและปรับโฉมแบรนด์ให้ทันสมัยให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าสมัยใหม่มากขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนด้านของเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสดวกด้านต่างๆ รวมถึงการบริหารต้นทุนทำให้ผลประกอบการค่อนข้างแข็งแรง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ผลประกอบการเป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ที่ผ่านมานอกจาก store traffic ที่มากขึ้นแล้ว ไมเนอร์ยังดำเนินการตัดต้นทุนหลายๆด้าน และลดการให้ส่วนลดลง เพิ่มการทำ e-commerce ปรับเปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนและเพิ่ม productivity ทั้งทีมงานและบุคลากรทำให้เกิดผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันปิดแบรนด์ที่ขาดทุนหรือไม่ตรงใจผู้บริโภคทำให้ผลประกอบการดีขึ้นมา
“เราเป็นเจ้าแรกๆในช่วงโควิดที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเงินและวิธีการทำงานให้พร้อมรับมือกับโควิด นอกจากนี้ความสามารถในการรับมือการฟื้นตัวของลูกค้าและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นก็สำคัญ เราให้น้ำหนักกับการสื่อสารกับลูกค้าและโฟกัสพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราสามารถพิชิดใจลูกค้า สร้างรายได้รับและผลกำไร ขณะเดียวกันสามารถลดต้นทุนและชะลอการลงทุนทำให้มีสภาพคล่องในช่วงโควิดได้ดี และมีกระแสเงินสดที่เพียงพอ
ตีมของเราในปีนี้ “กลับมาสู่การเติบโตอีกครั้ง” โดยตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปีและผลกำไรมากกว่า20% จากความพยายามในการตัดต้นทุน การทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้นในปีที่แล้วทำให้เห็นกำไรที่เติบโตขึ้นในปีนี้และเติบโตมากกว่ารายได้บวกกับแรงหนุนจากจีนประเทศเร็วขึ้น แต่อาจต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะกลับเข้ามา เพราะจะต้องใช้เวลาในการทำวีซ่าและไฟลต์บินยังไม่มีมาก ในช่วงแรกคาดว่าคนจีนจะเดินทางเพื่อไปเจอคนในครอบครัวภายในประเทศก่อน และน่าจะเริ่มเดินทางนอกประเทศหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยปลายไตรมาส2 เป็นต้นไป
แต่ระยะสั้นเราเห็นดีมานด์กลับเข้ามาแล้วบ้าง ส่วนต้นทุน ค่าครองชีพ ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเราจะยังมีแผนจะเพิ่มราคาห้องพักต่อเนื่อง แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพของประสบการณ์ของลูกค้าที่จะได้จากการเพิ่มราคา ส่วนหนึ่งลูกค้าของเราเป็นกลุ่มคนมีเงินและลักซัวรี่ เพราะฉนั้นมีกำลังจ่ายค่าห้องที่เพิ่มขึ้นแน่นอน”
ผู้บริหารกล่าวต่อไปว่า ตามแผนกลยุทธ์ 3 ปีตอนนี้ไมเนอร์มีแผนเปิดโรงแรมเพิ่มในหลายรูปแบบทั้งที่ลงทุนเองและรับจ้างบริหารในอินโดนีเซีย บาหลี มัลดีฟส์ ยุโรปและซิดนีย์ นอกจากนี้ยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เช่นการขายวิลล่าระดับหรูในภูเก็ตเฟส 3 และโครงการอนันตรา สยาม เรสซิเดนซ์ เพื่อขยายเรสซิเดนซ์ระดับโลก นอกจากนี้ไมเนอร์ยังก้าวขึ้นเป็น Loyalty Program เจ้าใหญ่ของโลก ในเซกเตอร์ของ โรงแรมโดยมีสมาชิกปัจจุบัน 22 ล้านเมมเบอร์
นอกจากในเรื่องของ wellness ไมเนอร์ยังสร้างพันธมิตรที่ดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และดูแล portfoliocasual dining restaurant ในประเทศอังกฤษ ซึ่งจะมีการเปิดร้านเพิ่มเติมในหลายโลเคชั่นรวมทั้งขยายนอกประเทศอังกฤษเช่นซาอุดิอาระเบีย และในอนาคตจะมีการเปิดโรงแรมเพิ่มในซาอุดิอาระเบียเพิ่มหลังจากไทยเปิดสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบียได้
ในส่วนของธุรกิจร้านอาหารเดิมจะยังคงสร้างการเติบโตโดยสร้างสินค้าใหม่ๆเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและพยายามเพิ่มสาขาทั่วทุกภูมิภาคที่มีธุรกิจไมเนอร์ตั้งอยู่ทั้งไทย ออสเตรเลียหรือสิงคโปร์ ในหลายๆรูปแบบ ทั้งสาขาที่ใหญ่สำหรับไดน์อิน แกรบแอนด์โก คีย์ออสเพื่อให้เหมาะกับโลเคชั่นนั้นๆและการคืนทุนที่รวดเร็วรวมทั้งการขยายแบรนด์ข้ามประเทศด้วย
“กลยุทธ์ระยะยาว 3 ปีที่ได้รับการอนุมัติมาแล้วมีเป้าหมาย 3 ประการคืออัตราการเติบโตของรายได้หลักไม่น้อยกว่า 12-15% ต่อปี ,อัตราผลตอบแทนของเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 10% และอัตรากำไรต้องเติบโตในระดับ “ดับเบิล ดิจิต” ภายใต้การดำเนินงาน 6 ประเด็นคือ 1สร้างเครือข่ายแบรนด์ที่แข็งแกร่ง โดนใจและตรงกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป 2การสร้างมูลค่าเพิ่มและประสิทธิภาพในองค์กรเพื่อการทำกำไรที่ดีขึ้น 3ขยายพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจและการลงทุนเพิ่มเติม 4สร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมและดิจิตอลที่ต้องเชื่อมต่อ กับลูกค้าได้ดีมากขึ้นทำให้ระบบหลังบ้านดีขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น 5สร้างทีมงานที่แข็งแกร่งการทำงานแบบยืดหยุ่นและ 6การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเบื้องต้นได้วางงบการลงทุนราว 1-1.5หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้สถานะทางการเงิน เรายังสามารถรักษาสภาพคล่องได้อย่างดี ณ วันนี้เรามีเงินสดในมือกว่า 2.3 หมื่นล้าน มีสินเชื่อกว่า 3หมื่นล้านบาท ทำให้เรามีสภาพคล่องประมาณ 50,000 ล้านบาท และเรายังดำเนินการลดหนี้ทำให้อัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 1.19 หล่นมาจาก 1.36 จากการจ่ายหนี้คืน และคาดว่าจะหล่นลงมาเรื่อยๆเจากผลกำไรที่ดีและใช้เงินสดไปใช้หนี้คืนเพื่อลดภาวะดอกเบี้ยที่สูง”