หลังประคับประคองโรงแรมในไทยกว่า 23 แห่ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจในเครือเกษมกิจ จนฝ่าวิกฤตโควิดได้สำเร็จ ล่าสุดเมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัว จึงเป็นจังหวะในการกลับมาสร้างโรงแรมใหม่อีกครั้ง “ธีรวัลคุ์ เตชะอุบล” เจ้าของและผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครง การกลุ่มโรงแรมในเครือ เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ สะท้อนมุมมองการลงทุนและบริหารโรงแรม ที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลังเกิดโควิด
“ธีรวัลคุ์ เตชะอุบล” หรือ คุณแวว มองว่า ธุรกิจโรงแรมหลังโควิด เราเรียนรู้ที่จะปรับตัว และทุกคนต้องปรับตัวเองให้เป็นมัลติทัช ทำงานได้หลายอย่าง และเรารู้ว่าควรต้องแบ่งไข่ใส่หลายตระกร้า อย่าพึ่งตลาดนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ที่ผ่านมาโชคดีที่ตลาดหลักของโรงแรมเป็นกลุ่มคอร์ปอเรต ทำให้รอดมาแบบปางตาย สะบักสะบอม แต่ก็รอด ได้เรียนรู้ว่าเราทำถูกแล้ว และเราไม่จำเป็นต้องรีบลงทุน แต่ถ้าจะลงทุนก็ต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง
ช่วงโควิดกระแสเงินสดมีปัญหา ต้องเอาเงินจากบริษัทยา ที่เราทำอยู่มาโป๊ะ ซื้อใจพนักงานที่แม้เขาจะ ลำบากจากการถูกลดเงินเดือน แต่เขาก็ยังอยู่กับเรา และที่ผ่านมาเรามีแคมเปญให้พนักงานและครอบครัวพักฟรี 2-4 คืน หรือแม้แต่ปีที่แล้ว เมื่อธุรกิจเริ่มกลับมา ยังขาดทุนอยู่ แต่เราก็กัดฟันจ่ายโบนัสให้เป็นกำลังใจ และตนก็ได้เดินสายไปพบพนักงานทุกระดับ เพื่อจะได้รับรู้ปัญหาต่างๆของโรงแรมแต่ละแห่ง ไม่ใช่แค่ฟัง จากที่รับรายงานขึ้นมา
ส่วนในปีนี้หลังโควิดคลี่คลาย ตั้งแต่ช่วงไฮซีซันเป็นต้นมา หลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว ธุรกิจโรงแรมกลับมาเติบโต ชนิดที่เราก็ตกใจ เพราะคนอั้นอยากเที่ยว หรือพฤติกรรม Revenge Travel (เที่ยวล้างแค้น) ราคาโรงแรมสามารถปรับเพิ่มสูงขึ้นได้ อัตราการเข้าพักเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้น ทำให้ในปี 2566 นี้ เรามีการเติบโตของรายได้ที่ดีมาก คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 10-20% ดีกว่าปีก่อนเกิดโควิด-19 เมื่อปี 2562
การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่เร็วมาก ก็ทำให้ในปีนี้เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะก็ต้องยอมรับไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาทักษะการทำงานของพนักงาน ก็มีบางส่วนก็ขาดหายไปไม่เหมือนเดิม เพราะไม่ได้ทำงานมานาน ก็ต้องค่อยๆ ไล่ฟื้นขึ้นมาใหม่ รวมถึงการปรับการให้บริการให้กลับมา รองรับพฤติกรรมของลูกค้าต่างชาติอีกครั้ง หลังจาก ก่อนหน้านั้นเรามีการปรับบริการ เพื่อรองรับลูกค้าคนไทยที่เข้ามาช่วยเราได้มาก ซึ่งพฤติกรรมการใช้บริการโรงแรมของลูกค้าต่างชาติและคนไทย ไม่เหมือนกันเลย
เช่นคนไทยทานอาหารเช้าตอน 7 โมงเช้า ต่างชาติทานตอน 9 โมงเช้า คนไทยไม่เล่นนํ้าหลัง 10 โมง แต่จะเล่นนํ้าอีกทีตอน 5 โมงเย็น ส่วนต่างชาติ หลัง 3 โมงครึ่งก็จะหายไปจากสระว่ายนํ้า เพราะไม่มีแดด ซึ่งทุก อย่างจะมีผลที่โรงแรมต้องปรับการให้บริการ และปรับกะของพนักงานให้สัมพันธ์กัน แต่พอตอนนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา เราก็ต้องปรับการให้บริการให้เข้าสู่ปกติ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าของโรงแรมจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 60-70%
นอกจากนี้จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ทำให้เราก็มองที่จะเริ่มกลับมาขยายการลงทุนใหม่ ด้วยความระมัดระวัง โดยหลังจากผ่านโควิดมา เราต้องการให้ธุรกิจกลับมามีเสถียร ภาพทางการเงินเสียก่อน แล้วค่อยๆ ขยายต่อ เนื่องจากเราเป็นธุรกิจครอบครัว ไม่มีหุ้นส่วน และไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่จำเป็นต้องรีบขยายโรงแรมมากๆ แม้ว่าเรามีแลนด์แบงก์อยู่อีกหลายที่ก็ตาม
ดังนั้นการลงทุนในปีนี้ที่จะเกิดขึ้น จะเป็นการกลับมาลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ที่พัทยา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ตอกเสาเข็มไปแล้ว แต่พอเจอโควิด เราเลยหยุดไป เพราะเราไม่ต้องการเอากระแสเงินสดไปเสี่ยงกับอะไรเลย ในช่วงนั้นต้องมีเงินเลี้ยงลูกน้องก่อน ช่วงนั้นจึงไม่ควรสร้างโปรเจ็กต์ใหม่ พอตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนเราก็จะกลับมาลงทุนต่อหลังจาก 4 ปีผ่านไป แต่ด้วยเทรนด์การท่องเที่ยวหลังโควิดก็เปลี่ยนไป
วันนี้นักท่องเที่ยวไม่ได้แค่ต้อง การโรงแรม ห้องหรู นอนสบาย อาหารอร่อยไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แต่คนจะมองหาประสบการณ์ ไปแล้วไปทำอะไร ไปแล้วจะเห็นอะไร นี่เองทำให้การลงทุนโรงแรมจึงต้องปรับเปลี่ยนแบบใหม่หมดเลย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ รวมถึงการเปิดประมูลหาผู้รับเหมาใหม่ และการขอ EIA ด้วย
การลงทุนโรงแรมแห่งใหม่ในพัทยานี้ จะอยู่บนพื้นที่ 15 ไร่ ติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ซึ่งเป็นแลนด์แบงก์ที่คุณย่าซื้อมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในพื้นที่นี้จะลงทุนสร้าง 2 โรงแรม และสวนนํ้าในโรงแรม ประมาณการในเบื้องต้น งบประมาณอยู่ที่ 2,000 ล้านบาทขึ้นไป
โดยจะลงทุนโรงแรมหรู ภายใต้แบรนด์ “เคป” ประมาณ 80 ห้อง เจาะกลุ่มลักชัวรี เหมือน เคป ฟาน เกาะสมุย, เคปกูดู เกาะยาวน้อย, เคปนิทรา หัวหิน และอีกโรงแรมจะใช้แบรนด์ “แคนทารี” ประมาณ 200 ห้อง เน้นเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัว กลุ่มลองสเตย์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งทั้ง 2 โรงแรมจะแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
คุณแวว กล่าวต่อว่า การตัดสินใจกลับมาลงทุนโรงแรมใหม่ที่พัทยา เพราะเห็นว่าพัทยามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ถูกต้องเหมาะสม และตลาดก็เปิดมากขึ้น ตลาดแฟมมิลี่ ก็กลับมา เรามองว่าโรงแรมในพัทยามีโอกาสจับตลาดนิคมอุตสาหกรรมด้วยเหมือนกัน
ไม่เพียงการลงทุนโรงแรมใหม่ที่พัทยา เราก็มีแผนจะรีโนเวทโรงแรมต่างๆ ที่เราทำได้ มากน้อยแตกต่างกัน อาทิ โรงแรมแคนทารี ระยอง ก็จะปรับปรุงห้องพักทั้งห้อง โรงแรมเคป พันวา ภูเก็ต ก็จะมาทำในพื้นที่ส่วนกลาง อย่างสระว่ายนํ้าก่อน ส่วนการปรับปรุงห้องพักก็จะทำอีก 2 ปี โรงแรม เคปฟาน สมุยก็จะมีเพิ่มห้อง อีก 2-3 ห้อง เป็นต้น การลงทุนต่างๆ จะต้องสมเหตุสมผล เพื่อรองรับธุรกิจที่กลับมาเติบโต
รวมทั้งเรายังมีหุ้นอยู่ใน “จอห์น เกรย์ ซี แคนู” ซึ่งน้องชาย (พงศ์วรุตม์ ปังศรีวงศ์) เป็นผู้ดูแลอยู่ ที่มีการเพิ่มเติมเรื่องของอีโค หรือเอดดูเคชั่นแนล ทัวร์ในโปรแกรมที่ขายด้วย ซึ่งปัจจุบันมี 3 โปรแกรมเกี่ยวกับการพายเรือแคนู อาทิ พายแคนูเข้าถํ้าชมแพลนตอนตอนกลางคืน แพ็คเกจทัวร์เกาะเจมส์บอนด์ แต่ต่อไปก็จะเพิ่มรายการทัวร์มากขึ้นอย่างการปีนหน้าผา เป็นต้น ซึ่งก็จะเป็นการสร้างประสบการณ์ให้แก่นักท่องเที่ยว
ส่วนแนวโน้มของธุรกิจในปีหน้า เราก็มีความหวั่นกลัวเล็กน้อย แต่ก็มองว่านักท่องเที่ยวจีนน่าจะเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นอีก แต่ตลาดยุโรปเราก็ยังกังวล เพราะมีปัจจัยเรื่องของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ค่าเงิน ทำให้เราต้องพยายามมองไปเจาะนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่นมากขึ้น
เช่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลี ซึ่งตลาดจีนและเกาหลี การทำการตลาดก็จะไม่เหมือนตลาดอื่น ซึ่งเราต้องใช้โซเชียล มีเดียให้ตรงกับแพลตฟอร์มของตลาด เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า จากที่ตลาดหลักของเราจะเป็นยุโรปเป็นส่วนใหญ่ โดยมาจาก อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์นั่นเอง