วันนี้ (วันที่ 15 มีนาคม 2567) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้มีการจัดประชุม WORKSHOP IGNITE THAILAND’S TOURISM เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น Tourism Hub หรือ “ศูนย์กลางการท่องเที่ยว” ของภูมิภาค เพื่อเพิ่มรายได้ในทุกมิติ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมระดมความเห็น IGNITE THAILAND’S TOURISM ว่า การท่องเที่ยวเป็นเรือธงที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ และปีหน้าจะเป็นปีท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐบาลได้เดินหน้าประกาศนโยบายวีซ่าฟรีมีความคืบหน้ามาก โดยการยกเว้นวีซ่าระหว่างไทยจีนก็สามารถทำได้
ส่วนการเจรจาให้สหภาพยุโรป(อียู)ยกเว้นวีซ่าเชงเก้งให้คนไทยก็ไม่ใช่ความฝัน ขณะที่การต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เข้ามาประเทศไทยต้องให้เกิดความประทับมากที่สุดตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาจนก้าวออกไป ซึ่งการเวิร์คช้อปในครั้งนี้เพื่อปีหน้าที่ยิ่งใหญ่ โดยเริ่มวางจากปีนี้ล่วงหน้าไป 6 เดือน
วันนี้เป็นการรวมตัวกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนและภาคประชาชนที่จะมาร่วมกันจุดพลัง รวมใจให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในการท่องเที่ยวและเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวในอาเซียน และนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีที่เราจะได้มาพูดคุยกันอย่างบูรณาการอย่างแท้จริง
หนึ่งในศักยภาพของประเทศไทย คือเราเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวได้ ซึ่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 3 นโนบายเรือธงของรัฐบาล และมี 4 อย่างที่จะต้องทำ คือ
1. เราต้องยกระดับการท่องเที่ยว เฟ้นหา Soft Power มาเสริมจุดเด่นให้ประเทศไทย
2. เมืองหลัก เมืองรอง ต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว และเชื่อมโยงไปกับการท่องเที่ยวแบบภูมิภาค
3. ต้องมีการจัดเทศกาล งานต่าง ๆ เพื่อสร้างจุดขายเพิ่มเติมจากธรรมชาติ ทะเล ภูเขา ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Formula 1, Paris Fashion Show เป็นต้น
4. กฎระเบียบ โครงสร้างพื้นฐาน ต้องได้รับการปรับปรุงและแก้ไข เพื่อทำให้ Travel Experience ของเราดียิ่งขึ้น
ที่สำคัญนำจุดเด่นมาต่อยอด และหากต้องมีการลงทุน การ subsidize ก็ขอให้ใช้หลัก 80:20 (Eighty – Twenty) คือ ทำอะไรที่ High Impact ได้ผล 80% ใช้แรง 20% ทำให้การใช้จ่ายภาษีประชาชนก็ต้องเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า จากการที่ตนได้เดินทางไปประเทศเยอรมนีที่ผ่านมาได้เข้าร่วมงาน International Tourismus Borse หรือ ITB Berlin 2024 งานมหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในโลก ซึ่งได้ประกาศใน ITB เยอรมนีว่า ปีหน้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้ง นโยบายของรัฐบาลมีหลายนโยบายที่ต้องสนับสนุนทั้งเรื่องของการท่องเที่ยว เรื่องวีซ่าฟรีมีความคืบหน้าไปทิศทางที่ดี เรื่องวีซ่าเชงเก้นด้วย ซึ่งการไปต่างประเทศครั้งนี้ได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูดในหลายประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนที่ดี
นอกจากนี้ เราจะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่แค่ขยายสนามบิน การพัฒนาซอฟแวร์ที่ยังคงมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ยังมีการกระทำที่ยังผิดกฎหมายอยู่ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาตั้งแต่ก้าวแรกและก้าวสุดท้ายที่ออกจากประเทศ เพื่อให้เป็นประสบการณ์ที่มีความประทับใจอย่างสูงสุด
การมาระดมความคิดเห็นครั้งนี้ไม่ใช่แค่การจุดพลุ จากที่ตนได้เดินทางไปต่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ของดี ๆ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นของจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ONE Championship เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่สามารถจุดประกายให้การท่องเที่ยวได้ สามารถนำนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศได้อย่างมาก ควบคู่กับการพัฒนา Infrastructure ปีหน้าเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ แต่เราจะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป ให้มีเวลาอีก 6 เดือน คิดแผน เสนอความคิด สำหรับวันนี้ถือว่าเป็นการระดมมันสมองสุดยอดของทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับวงการท่องเที่ยว และเป็นคนที่มีจิตใจรักชาติ อยากให้ประเทศไทยพัฒนาไปถึงศักยภาพที่เป็นไปได้
ส่วนการเดินทางไปสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้พบปะหารือนักธุรกิจกับกลุ่มผู้บริหารบริษัทแอร์บัส และผู้บริหารด้านแฟชั่นที่จะมีการจัดแฟชั่นระดับโลก รวมถึงการพูดคุยการจัดฟอร์มูล่า วัน และ ฟอร์มูล่า อี มาแข่งขันที่ประเทศไทย หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วโดยเฉพาะผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับศูนย์การค้า เรื่อง Pop Up Store เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อ 2 ปีที่แล้วได้มีการจัดงานที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก มีการหารือกับผู้ประกอบการซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้และมีความสนใจที่จะทำ Pop Up Store ในหลายจังหวัด ไม่ใช่แค่จังหวัดภูเก็ตเพียงอย่างเดียว
ด้านนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กล่าวในพิธีเปิดงานประชุม WORKSHOP IGNITE THAILAND’S TOURISM ซึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้เกียรติร่วมเป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีการรวมตัวกันของทุกภาคส่วน ทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน
ทั้งนี้เพื่อร่วมระดมสมองกำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การนำศักยภาพจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ให้สังคมไทยอย่างทั่วถึงและยั่งยืน ยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น Tourism Hub หรือ “ศูนย์กลางการท่องเที่ยว” ของภูมิภาคอย่างแท้จริง เพื่อเพิ่มรายได้ในทุกมิติ
“ในปี 2566 การท่องเที่ยวไทยสามารถสร้างรายได้ มูลค่า 2.13 ล้านล้านบาท และในปี 2567 รัฐบาลมีเป้าหมายในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท ถึงแม้ว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนเราจะผลักดันร่วมกัน เพราะในวันนี้ประเทศไทยมีศักยภาพเกินกว่านั้นแล้ว เราจะจุดพลังเพื่อก้าวข้ามไปยังเป้าหมายที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้รายได้จากการท่องเที่ยวดังกล่าว สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากที่สุดถึง 18.64 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั้งหมด จากในปี 2566 อยู่ที่ 12.80 % ของ GDP จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจส่วนสำคัญของประเทศไทยส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยว คือ จุดแข็งของประเทศไทย
เราจำเป็นต้องผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ปรับสเกลการพัฒนาให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนาปัจจัยเกี่ยวเนื่องของวงจรการท่องเที่ยว ปรับกลยุทธ์ให้นักท่องเที่ยวเพิ่มรายจ่ายต่อทริปและเพิ่มจำนวนวันพักของนักท่องเที่ยว กระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองหลักและเมืองรองอย่างทั่วถึง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าประเทศไทยมีจุดเด่นทางการท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งที่ได้เผยโฉมให้ชาวโลกได้รับรู้แล้ว และอีกมากมายที่ยังรอการค้นหาและพร้อมปะทุออกมาให้ชาวโลกได้สัมผัส ซึ่งถึงเวลาแล้ว ที่จะร่วมกันจุดพลังดึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่มีอยู่ออกมาให้ชาวโลกได้ชื่นชมอย่างเต็มพิกัด ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี ผ่านการผลักดัน 5 ประเด็นสำคัญที่จะระดมสมองในการขับเคลื่อนท่องเที่ยว เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ประกอบด้วย
ประเทศไทยมีความร่ำรวยทางวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตที่น่าสนใจ จนเป็นที่มาของ Amazing Thailand ซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ชาวโลกมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย ได้แก่ 1. อาหารไทย 2. มวยไทย 3. ผ้าไทย 4. วัดไทย และ 5. Thai Show เราจะหาวิธีการช่วยกันเฟ้นหาและผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้เข้าไปอยู่ในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อให้นักท่องเที่ยวนึกถึงประเทศไทยเป็นประเทศแรก ใช้ความทรงพลังของเอกลักษณ์ไทย มัดใจชาวโลกให้เข้ามาท่องเที่ยว มีรอยยิ้ม และเก็บความประทับใจกลับไปบอกต่อจนติดใจและกลับมาเที่ยวซ้ำ
ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยว ประเพณี วัฒนธรรมที่หลากหลาย มีอัตลักษณ์เฉพาะแต่ละพื้นที่รวมทั้งมีภูมิประเทศที่มีความแตกต่างกัน มีศักยภาพและความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่ม นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปค้นหา สัมผัสประสบการณ์ และเดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งประเทศ เราจะร่วมกันหาวิธีการผลักดันทุกเมืองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวได้ทั้ง 365 วัน “มหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน” ยกระดับเมืองรองให้เป็นจุดท่องเที่ยวมากขึ้นโดยเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเมืองหลักสู่เมืองรอง
ส่งต่อและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของเมืองรองใหม่ๆ ที่ยังต้องการนักท่องเที่ยวเข้าไปค้นหา พร้อม ๆ กับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ยกระดับมาตรฐานที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมการท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ เพื่อขับเคลื่อนการกระจายรายได้สู่พี่น้องชาวไทยให้กินดีอยู่ดี โดยใช้การท่องเที่ยวสร้างรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกิดความยั่งยืน จากระดับชุมชนสู่ชุมชน จากเมืองสู่เมือง และจากประเทศสู่สายตาชาวโลก
ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนา ยกระดับสู่การเป็นเมืองแห่ง World Class Events ไม่ว่าจะเป็น เตรียมความพร้อมของสนามกีฬาขนาดใหญ่ ศูนย์การประชุม ศูนย์การจัดแสดงสินค้าที่มีมาตรฐานและศักยภาพในการรองรับการจัดงานอีเว้นท์ระดับโลก
เราจะหาวิธีทำอย่างไรในการผลักดันให้ไทยเป็นเมืองศูนย์กลางมหกรรมความบันเทิงระดับโลก ให้ประเทศไทยไม่หลับใหล ก้าวสู่การเป็นเมืองศูนย์กลางงานเทศกาล งานศิลปะ งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ การประชุมระดับนานาชาติ และมหกรรมคอนเสิร์ต โดยนำศิลปินระดับโลกเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
การจัดงาน Mega Events และยกระดับเทศกาลไทยจาก Local to Global เช่น มหาสงกรานต์ ลอยกระทง ที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งการจัดมหกรรมในระดับ World Class Events จะสร้างรายได้ให้กับทุกภาคส่วน และกระจายลงสู่ระดับภูมิภาค ท้องถิ่น และชุมชนอย่างทั่วถึง
การจะหาวิธีการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อ ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน จับมือกับประเทศพันธมิตรในระดับภูมิภาค โดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย สร้างความเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ เพื่อรวมการท่องเที่ยวในภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว
โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางหลักต้อนรับนักท่องเที่ยว ดึงจุดแข็งของแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมจากประเทศเพื่อนบ้านมารวมเป็น Package ดึงดูดนักท่องเที่ยว ค้นหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิม ต่อจิ๊กซอว์เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว โดยต้องผลักดันให้เกิด Single Visa และการนำเทคโนโลยีมายกระดับการบริหารจัดการพิธีการข้ามแดน รวมทั้งปลดล็อคปัญหาอุปสรรคในการข้ามแดน เชื่อมโยงล้อ ราง เรือ อย่างเป็นระบบ เพื่อก้าวสู่การเป็น ASEAN One Destination โดยไทยเป็นศูนย์กลาง
การก้าวเข้าสู่ความเป็น Tourism Hub สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การสร้างประสบการณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเป็นปัจจัยแรกในการตัดสินใจเลือก Destination ในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ความสะดวก ความสะอาด
รวมทั้งการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดย ต้องบูรณาการความร่วมมือในการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ใช้เสน่ห์ ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีของคนไทย ดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ร่วมกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลความปลอดภัยสร้างความอุ่นใจให้กับนักท่องเที่ยว
สร้างความมั่นใจโดยการอัพเกรดมาตรฐานการให้บริการให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ใส่ใจความสะอาด ตระหนักความสำคัญของสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับการให้บริการ สร้างประสบการณ์ที่ดีและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ นำไปสู่การกลับมาท่องเที่ยวซ้ำและบอกต่อ สู่การเป็นบ้านหลังที่สองที่อบอุ่นใจเมื่อได้กลับมาเยือน