“ไทยยูเนี่ยน”ร่วมลงทุนใน “เจลลาเจน” สตาร์ทอัพชั้นนำในอังกฤษ

08 ธ.ค. 2565 | 12:16 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ธ.ค. 2565 | 19:32 น.

ไทยยูเนี่ยน ประกาศเข้าลงทุนใน “เจลลาเจน” บริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำ ผลิตคอลลาเจนจากแมงกระพรุนในอังกฤษ รอบการระดม 8.7 ล้านปอนด์เสริมทัพธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพ

รายงานข่าวจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ TU เผยว่า ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้เข้าลงทุนใน บริษัท เจลลาเจน หนึ่งในบริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำด้านคอลลาเจนชีวภาพ มีสำนักใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองคาร์ดิฟฟ์ สหราชอาณาจักร ในรอบการระดมทุนซีรีย์เอที่ทางเจลลาเจนได้ระดมเงินทั้งสิ้น 8.7 ล้านปอนด์(ประมาณ 365 ล้านบาท คำนวณที่ 42 บาทต่อปอนด์)โดยการลงทุนของไทยยูเนี่ยนครั้งนี้เป็นการลงทุนผ่านกองทุน Venture Fund ของบริษัท

 

สำหรับบริษัท เจลลาเจน ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 โดยเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ ที่พัฒนาคอลลาเจน ในรูปแบบของวัสดุชีวภาพ จากแมงกระพรุน  เพื่อใช้ทางเวชศาสตร์ในการฟื้นสภาพ หรือ ศาสตร์การรักษาโรคต่าง ๆ ผ่านการเข้าไปฟื้นฟูความเสื่อมของร่างกายโดยลงลึกไปถึงระดับเซลล์ ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์และวิธีการเพาะเลี้ยง 

คอลลาเจนชนิด 0 ของบริษัท เจลลาเจน (เครดิตภาพ: เจลลาเจน)

 

ทั้งนี้การลงทุนของไทยยูเนี่ยนในเจลลาเจนในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และการนำไปใช้ในสินค้าที่ไทยยูเนี่ยนมีอยู่และสินค้าที่พัฒนาขึ้นในอนาคต

 

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนฯในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเล ได้พยายามอย่างยิ่งในการยกระดับนวัตกรรมในธุรกิจและสินค้าของบริษัทฯ  โดยเจลลาเจน เป็นผู้นำในการวิจัยคอลลาเจนจากแมงกระพรุนและกำลังพัฒนารูปแบบคอลลาเจนจากทะเล ซึ่งจะได้นำมาใช้ในการแพทย์ เครื่องสำอาง อาหารและโภชนาการ ซึ่งไทยยูเนี่ยนหวังที่จะได้ร่วมงานกับเจลลาเจนทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโรงงานผลิตทั่วโลก

นายโธมัส-พอล เดสแคมปส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจลลาเจน

 

ด้าน นายโธมัส-พอล เดสแคมปส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจลลาเจน กล่าวว่า นับเป็นความสำเร็จและก้าวที่สำคัญสำหรับการลงทุนที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจในครั้งนี้จากไทยยูเนี่ยนได้เข้ามาร่วมลงทุน  โดยการลงทุนในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเจลลาเจนในฐานะผู้นำด้านวัสดุชีวภาพและเครื่องมือแพทย์ระดับโลกในอนาคต   และยังจะช่วยในการจัดการวัตถุดิบของเจลลาเจนและการขยายกำลังการผลิตในอนาคต  เพื่อเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยให้เทคโนโลยีของเจลลาเจนเติบโตได้อีกมาก