กรณีแอปพลิเคชันชื่อดัง LINE ประกาศปิดการให้บริการ LINE IDOL ในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยให้ลูกค้าย้ายไปใช้ LINE official account หรือ LINE OA ในการแจ้งข้อมูลข่าวสารแทน เป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปกำกับดูแลการประกอบธุรกิจของไลน์ในประเทศไทย
ทั้งนี้การปิดการให้บริการ LINE IDOL จะส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ผลิตคอนเทนต์ และสื่อมวลชน มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจาก 5,000-10,000 บาทต่อเดือน เป็นหลักแสนถึงหลักล้านบาทต่อเดือน จากในราคาแพ็คเกจที่กำหนดไว้ใน LINE OA นั้นมีการจำกัดจำนวนข้อความที่ส่งไว้ หากเกินจากนั้นจะคิดค่าบริการการส่งเพิ่มเติม เช่น แพ็คเกจ 1,500 บาท จะจำกัดการส่งข้อความไว้ที่ 35,000 ข้อความ หากเกินจากนั้นจะคิด 0.04 บาทต่อหนึ่งคนที่ได้รับการส่งข้อความ(ราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจและสื่อมวลชนมีภาระค่าใช้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นหลักหลายล้านบาทต่อเดือนและต่อปี ตามที่ฐานเศรษฐกิจได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 50 วงเล็บ 3 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เรื่องการใช้อำนาจเหนือตลาดในการจำกัดการให้บริการ เพื่อหาวิธีเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับบริการเพิ่มอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ กขค.จะศึกษาและตรวจสอบข้อมูลในเรื่องดังกล่าวว่าผู้ให้บริการมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ในการกระทำการดังกล่าว โดยเรื่องนี้คาดจะนำเข้าสู่ที่ประชุม กขค.ได้หลังช่วงปีใหม่
สำหรับการป้องกันการผูกขาดและการค้าที่ไม่เป็นธรรม ตามมาตรา 50 ของ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าฯ ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอํานาจเหนือตลาดกระทําการในลักษณะ อย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งอาจขัดกับ มาตรา 50 โดยในมาตรา 50 วงเล็บ(3) ระบุว่า การระงับ ลด หรือจํากัดการบริการ การผลิต การซื้อ การจําหน่าย การส่งมอบ การนําเข้ามา ในราชอาณาจักรโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ทําลายหรือทําให้เสียหายซึ่งสินค้า ทั้งนี้ เพื่อลดปริมาณให้ต่ำกว่าความต้องการของตลาด
ขณะที่นิยามของผู้มีอำนาจเหนือตลาด ตาม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ได้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาการเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดโดยแบ่งลักษณะการพิจารณาเป็น 2 กรณี ดังต่อไปนี้
กรณีที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจรายเดียว มีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมาของสินค้าหรือบริการหนึ่งตั้งแต่ 50% ขึ้นไป และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป
กรณีที่ 2 ผู้ประกอบธุรกิจ 3 รายแรกของตลาดสินค้าหรือบริการหนึ่ง มีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมารวมกันกัน 75% และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ดีถ้ามีผู้ประกอบธุรกิจรายใดรายหนึ่งมีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมาไม่ถึง 10% ก็จะได้รับการยกเว้น ไม่เข้าเกณฑ์การเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดในกรณีนี้