นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการ กยท.เดินทางไปกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เพื่อหารือกับนายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป นายพรเทพ ศรีธนาธร อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ผู้อำนวยการสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป
เกี่ยวกับประเด็นที่สหภาพยุโรป(อียู) เตรียมออกประกาศบังคับใช้กฎหมาย EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) สำหรับสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา นั้น ทำให้ทราบว่า การดำเนินมาตรการต่างๆอย่างต่อเนื่องของ กยท. เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดของผลิตภัณฑ์ยางพาราได้ เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง สอดคล้องกับกฎหมาย EUDR ในขณะที่ประเทศคู่แข่งของไทยยังไม่มีการตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวเท่าไรนัก
ดังนั้น มาตรการ EUDR จะช่วยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถขยายตลาดยางพาราในสภาพยุโรปได้มากขึ้นเหนือกว่าประเทศคู่แข่ง
สำหรับกฎหมาย EUDR เป็นกฎหมายว่าด้วยสินค้า 7 ประเภท ซึ่งสินค้ายางพาราก็เป็น 1 ใน 7 ประเภทดังกล่าว ที่จะต้องปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่า ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางจะต้องมาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่า รวมทั้งจะต้องการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม
ทั้งนี้ กยท. ให้ความสำคัญในเรื่อง EUDR โดยได้กำหนดเป็นนโยบายที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน ซึ่งที่ผ่านมา กยท. ได้บูรณาการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานภาคราชการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานของสหภาพยุโรป หน่วยงานภาคเอกชน เกษตรกร และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องเอกสารสิทธิ การบริหารจัดการสวนยางพารา
นอกจากนี้ ได้เตรียมความพร้อมการจัดการระบบข้อมูลเกษตรกร พิกัดสวนยาง ข้อมูลกลุ่มเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ ตลอดจนผู้ประกอบการที่ซื้อขายยางพาราผ่านตลาดกลางฯ กยท. และข้อมูลผู้ส่งออก โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนดังกล่าวเป็นอย่างดี ทำให้สามารถเชื่อมระบบข้อมูลเข้าด้วยกัน จนสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างเป็นรูปธรรมครบถ้วนทั้ง 100%
“กยท. ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางของไทยสามารถส่งออกได้ตามมาตรฐานตามประเทศคู่ค้ากำหนด โดยได้เร่งพัฒนาปรับปรุงสวนยางพาราของไทยให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มอก. 14061 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การปลูก การดูแล ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต และผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการจัดการเพื่อรักษาและส่งเสริมสภาพความสมบูรณ์ของสวนยางพาราในระยะยาว อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและอำนวยประโยชน์ต่อชุมชนในพื้นที่" ผู้ว่าการ กยท.กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้นำระบบการซื้อขายประมูลยางพารารูปแบบ Digital PlatformThai Rubber Trade (TRT) มาใช้ในการประมูลซื้อขาย ซึ่งจะสามารถตรวจสอบรายละเอียดในการซื้vขายแต่ละครั้งได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีการจัดเก็บข้อมูลและรวบรวมผลผลิตของสมาชิกแต่ละรายไว้เป็นระบบ
พร้อมนำเทคโนโลยี Block chain เข้ามาใช้รองรับการการตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลแหล่งที่มาของผลผลิตยางพารา จึงสามารถเช็คได้ว่าผลผลิตยางที่ขายไป มาจากสวนยางของสมาชิกรายใด สวนยางตั้งอยู่ที่พิกัดไหน และเป็นสวนยางที่มีประเภทของเอกสารสิทธิ์ที่ดินเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย EUDR หรือไม่
"ในอนาคต โลกจะให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น ประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากอียูจะต้องนำกฎหมายเช่นเดียวกับ EUDR มาใช้บังคับอย่างแน่นอน ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือ ซึ่ง กยท.จะใช้โอกาสนี้ในการดำเนินงานเรื่องสำคัญๆอย่างน้อย 3 เรื่องด้วยกันคือ
1. จัดระเบียบและฐานข้อมูลของเกษตรกรชาวสวนยางที่มีอยู่ให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด พร้อมอัพเดทให้ทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งต้องให้เกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนกับ กยท. ให้ครบทั้งหมด ซึ่งจะเป็นผลดีให้แก่เกษตรกรที่จะได้รับสิทธิจากนโยบายภาครัฐต่างๆด้วย จากปัจจุบันมีเกษตรกรชาวสวนยางจดทะเบียนกับ กยท. ประมาณ 18 ล้านคน
2. การบริหารจัดการพื้นที่ปลูกยางพาราอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ และพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครอง โดยจะต้องช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ และให้พื้นที่ปลูกยางได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น
และ 3.ผลักดันมาตรการต่างๆเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม