นายกิตติชัย ตั้งเจริญ ประธานบริหารบริษัท สวัสดิ์ไพบูลย์การเกษตร จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท โรงสีสวัสดิ์ไพบูลย์ จำกัด และ บริษัท สวัสดิ์ไพบูลย์การเกษตร จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรไทยทั้งภายในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ ซึ่งจากเดือน ม.ค.-ก.ย.2566 ส่งออกมันสำปะหลังทั้งมันเส้นและมันอัดเม็ดรวมกว่า 1,006,756 ตัน แบ่งเป็นมันเส้น 992,031 ตัน และ มันอัดเม็ด 14,724 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17-18 ต.ค. 2566 ได้มีการประชุมเวที "Belt and Road Forum" (BRI) หรือ เวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 3 ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในเวทีดังกล่าว บริษัท สวัสดิ์ไพบูลย์ฯ เป็นบริษัทฯ ของคนไทยเพียงรายเดียวที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน และได้ลงนามความร่วมมือ หรือ MOU ในการส่งออกมันสำปะหลัง (มันเส้น) กับบริษัท COFCO หรือ China Oil and Foodstuffs Corporation ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดของรัฐบาลจีนกลางและเป็นบริษัทชั้นนำด้านการผลิตและการนำเข้าธัญพืชของจีน
นายกิตติชัย กล่าวว่า การจัดซื้อมันสำปะหลังเส้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับปี 2567 จำนวน 500,000 ตัน คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทำการส่งมันเส้นให้กับประเทศจีนในเดือน ม.ค.2567 และจะส่งมอบทั้งหมดภายใน 1 ปี
โดยบริษัทสวัสดิ์ไพบูลย์ฯ จะรวบรวมผลผลิตทั้งจากประเทศไทยที่ผลิตเองและนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาวและกัมพูชา ซึ่งเราได้สิทธิ์นำเข้าและส่งออกในประเทศดังกล่าว เพื่อส่งให้ประเทศจีนคาดว่าจะใช้ผลผลิตในไทย 70% ส่วนอีก 30 % จะนำเข้าจาก 2 ประเทศ
สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกมันสำปะหลังอันดับ 1 ของโลก ซึ่งสวัสดิ์ไพบูลย์ฯ ได้ทำการส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดปีละกว่า 1.5 ล้านตัน มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท ตลาดหลักคือ ประเทศจีน
ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกมันเส้นมากกว่า 6 ล้านตันต่อปี ซึ่งประเทศจีนมีความต้องการมันสำปะหลังสูงถึงปีละกว่า 280 ล้านตัน แต่สัดส่วนการส่งออกของเรายังน้อย เมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด
อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังประสบปัญหาเรื่องกำลังการผลิตที่น้อยมาก โดยเฉพาะเรื่องการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของเกษตรกร เพราะพื้นที่มีจำกัดมีวิธีเดียวที่ดีที่สุดคือการเพิ่มผลผลิตของเกษตรกรให้มากขึ้น แม้ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลจะพยายามใช้วิธีการต่างๆ จึงฝากให้รัฐบาลชุดนี้ เร่งดำเนินการในการเพิ่มผลผลิตของเกษตรกรอย่างจริง ๆ
รวมถึง การแก้ไขปัญหาโรคระบาดโดยเฉพาะโรคใบด่างอย่างเร่งด่วน ซึ่งตลาดมันสำปะหลังยังไปได้ดีมากและสดใสต่อเนื่องถึงปี 2567 แม้ว่าราคาพืชชนิดอื่นจะปรับตัวลดลง และราคาในต่างประเทศยังแข่งขันได้ โดยเฉพาะตลาดจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ที่มีความต้องการมันเส้นสูงและเป็นตลาดหลักของการส่งออกมันเส้น ด้วยสัดส่วน 80% ของปริมาณส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดของไทย
ทั้งนี้จากข้อมูลของสมาคมผู้ปลูกมันสำปะหลังแห่งประเทศไทย คาดว่า ผลผลิตมันสำปะหลังในปี 2566 จะอยู่ที่ 35 ล้านตันหัวมันสด เพิ่มขึ้น 1.5-2.5% เนื่องจากราคาที่คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อทำให้หลายประเทศมีความต้องการเพื่อความมั่นคงทางอาหารเพิ่มขึ้น
ส่วนปี 2567-2568 คาดว่าผลผลิตจะอยู่ที่ระดับ 36.5 ล้านตันหัวมันสด เพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 2.0-3.0% เนื่องจากปริมาณน้ำและสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก และแนวโน้มความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่จะขยายตัวตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า