นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) เผยว่า สรท.คาดการณ์ส่งออกไทยปี 2567 จะขยายตัวได้ร้อยละ 1 ถึง 2 (ณ ธ.ค. 2566) โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเนื่องจากปี 2566 ได้แก่ 1.เศรษฐกิจทั่วโลกปี 2566 ในภาพรวมเติบโตได้น้อยกว่าที่คาดไว้และยังคงอยู่ในทิศทางชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จากภาวะสงครามที่ยืดเยื้อส่งผลให้ความต้องการสินค้าไม่แน่นอนและกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจโดยรวม
3.อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังคงทรงตัวระดับสูง ส่งผลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยโดยรวมจะปรับลดลงบ้างแล้ว โดยคู่ค้าหลักยังคงมีอัตราดอกเบี้ยสูงเช่น สหรัฐอเมริกา 4.ดัชนีภาคการผลิต (PMI) ยังคงทรงตัวและมีแนวโน้มหดตัวในบางตลาดสำคัญ ส่งผลให้ภาคการผลิตตึงตัว จากดัชนีภาคการผลิตเคลื่อนไหวใกล้เส้น base line โดยเฉพาะสหรัฐ ญี่ปุ่น เวียดนาม และ 5.ความกังวลเรื่องต้นทุนภาคการผลิตที่ยังมีความไม่แน่นอน อาทิ ค่าไฟฟ้าและค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ สรท.มีข้อเสนอแนะรัฐบาลที่สำคัญ ได้แก่ 1.บริหารจัดการลดต้นทุนการผลิตเพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก โดยเฉพาะการบริหารต้นทุนพลังงาน ค่าไฟฟ้า อัตราดอกเบี้ย ค่าจ้างขึ้นต่ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
2.เร่งรัดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดเป้าหมายที่สำคัญ และเร่งการเจรจาการค้าเสรี (FTA) และความตกลงทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจรูปแบบอื่น อาทิ Mini FTA เพื่อสร้างแต้มต่อและลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดและแหล่งวัตถุดิบ ให้ผู้ประกอบการไทยสามารถนำเสนอสินค้าเข้าสู่ตลาดโลกและแสวงหาวัตถุดิบสำคัญได้มากขึ้น
ขณะที่ สรท. คาดการณ์การส่งออกในปี 2566 จะหดตัวที่ร้อยละ -1.5 ถึง 1 หลังภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยช่วง 10 เดือนแรกปี 2566 (ม.ค.-ต.ค.) ในส่วนของการออกมีมูลค่ารวม 236,648.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรูปเงินบาทมีการส่งออก 8.10 ล้านล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.6 (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย การส่งออกในช่วงม.ค.-ต.ค. หดตัวร้อยละ 0.6
ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 243,313.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.6 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 8,439,268 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.7 ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยช่วง 10 เดือนแรกปี 2566 ขาดดุล 6,665.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 329,502 ล้านบาท