ฐานเศรษฐกิจ ประมวลข้อมูลจาก 2 แหล่ง คือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และ คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ(สสน.) (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับการเปรียบเทียบสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างปี 2554 และ 2567 ให้เห็นภาพว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ซึ่งจากข้อมูลพบว่า มีข้อมูลสำคัญที่ประชาชนอย่างเราต้องรู้ ให้เห็นองค์ประกอบปัจจัยที่ทำให้ต่อสถานการณ์น้ำท่วม ที่ครอบคลุมถึงพายุฝน ปริมาณฝนสะสม ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ปริมาณน้ำท่า และการระบายน้ำ
สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างปี 2554 และ 2567 ทั้งในแง่ของพายุ ปริมาณฝนสะสม และปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก ข้อมูลจาก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มีดังนี้
พายุและฝน:
ในปี 2554 ประเทศไทยเผชิญกับพายุถึง 5 ลูก ได้แก่ ไห่หมา (มิถุนายน), นกเต็น (กรกฎาคม), ไห่ถาง (กันยายน), เนสาท (กันยายน-ตุลาคม) และนาลแก (ปลายตุลาคม) ส่งผลให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องหลายเดือน
ในทางกลับกัน ปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยเพียง 1-2 ลูก โดยมีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม
ปี 2554 มีปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าปกติถึง 24% และเป็นปีที่มีฝนมากที่สุดในรอบ 61 ปี นับจาก พ.ศ. 2494 ในขณะที่ปี 2567 (ข้อมูลตั้งแต่ ม.ค. - 20 ส.ค.) มีปริมาณฝนทั้งประเทศต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปี โดยมีปริมาณฝนสะสม 934 มิลลิเมตร หรือต่ำกว่าค่าปกติ 4%
ณ วันที่ 24 สิงหาคม ปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก 4 แห่ง ของปี 2554 สามารถรองรับน้ำได้ 4,647 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่ปี 2567 มีปริมาณน้ำสูงถึง 12,071 ล้าน ลบ.ม. แสดงให้เห็นว่าปี 2567 มีความสามารถในการรองรับน้ำมากกว่าปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ
สถานี C.2 แม่น้ำเจ้าพระยา ต.ค่ายจิรประวัติ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ซึ่งวัดปริมาณน้ำไหลผ่าน ในปี 2554 มีปริมาณน้ำ 2,284 ลบ.ม./วินาที (ค่าสูงสุด 4,689 ลบ.ม./วินาที) ส่วนปี 2567 มีปริมาณน้ำเพียง 837 ลบ.ม./วินาที (คาดว่าค่าสูงสุด 2,860 ลบ.ม./วินาที)
นอกจากนี้ การระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา (C.13) อ.สรรพยา จ.ชัยนาทในปี 2554 อยู่ที่ 1,832 ลบ.ม./วินาที (ค่าสูงสุด 3,726 ลบ.ม./วินาที) ขณะที่ปี 2567 มีการระบายน้ำเพียง 499 ลบ.ม./วินาที (คาดว่าค่าสูงสุด 2,700 ลบ.ม./วินาที)
ขณะที่ข้อมูลจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ระบุข้อมูลเปรียบเทียบสถานการณ์น้ำในปี 2567 และ 2554 พบว่ามีความแตกต่างที่น่าสนใจหลายประการ
1. ปริมาณน้ำฝนสะสม: ในปี 2567 มีปริมาณน้ำฝนสะสมทั่วประเทศน้อยกว่าปี 2554 อย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2567 มีปริมาณ 868 มิลลิเมตร เทียบกับ 1,237 มิลลิเมตรในปี 2554
2. การกระจายตัวของฝน: ปี 2567 มีการกระจายตัวของฝนที่แตกต่างจากปี 2554 โดยภาคตะวันออกมีปริมาณฝนมากที่สุด (1,207 มม.) ขณะที่ปี 2554 ภาคใต้มีปริมาณฝนมากที่สุด (1,640 มม.)
3. ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ: ปี 2567 มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ 43,294 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่าปี 2554 ที่มี 51,759 ล้านลูกบาศก์เมตร
4. น้ำในเขื่อนหลัก: ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยาในปี 2567 อยู่ที่ 13,044 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้อยกว่าปี 2554 ที่มี 20,149 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างมีนัยสำคัญ
5. พื้นที่ประสบภัย: ในปี 2567 มีการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมในหลายจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก ขณะที่ปี 2554 เกิดน้ำท่วมใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว้างในหลายภูมิภาค
6. การเตรียมพร้อม: ในปี 2567 มีการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ โดยมีการจัดเก็บน้ำในอ่างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ 35 แห่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง