greener-living

พบชิ้นส่วนฉลามกว่า 15 สายพันธุ์ วางขายเกลื่อนทั่วไป โดยเฉพาะช่วงตรุษจีน

    คนไม่เลิกบริโภค ก็ไม่เลิกขาย พบชิ้นส่วน 'ฉลาม' กว่า 15 สายพันธุ์ วางขายเกลื่อนทั่วไป โดยเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีน

ฉลาม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศทางทะเล ตั้งแต่แนวปะการังไปจนถึงมหาสมุทรเปิดโดยทำหน้าที่เป็นนักล่าชั้นสูงสุดที่ช่วยรักษาสุขภาพและความสมดุลของสายใยอาหารที่สลับซับซ้อนในมหาสมุทร ช่วยรักษาความหลากหลายของสายพันธุ์ ควบคุมขนาดประชากร รวมถึงคัดแยกสัตว์น้ำที่อ่อนแอออกไป 

 

ในอีกทางหนึ่งยังมีส่วนช่วยกักเก็บคาร์บอนเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

 

ทว่าจำนวนประชากรปลาฉลามลดลงอย่างเนื่อง จาก การทำประมงเกินขนาด (Overfishing) และการจับสัตว์น้ำพลอยได้ (Bycatch) หรือปลาที่ถูกจับขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจจากการทำประมงเชิงพาณิชย์ซึ่งติดปลาฉลามที่อ่อนแอ และใกล้สูญพันธุ์ไปด้วย

 

ข้อมูลองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุว่า ชนิดพันธุ์ปลาฉลามและกระเบนทั่วโลกราว 1 ใน 3 กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากการทำประมงเกินขนาด ด้านสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้ว่า ฉลามในน่านน้ำไทยกว่าครึ่ง หรือ 47 ชนิด จาก 87 ชนิด มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์-ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง โดยสาเหตุหลักมาจากการถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้

 

ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ผู้รณรงค์ยกเลิกการบริโภคฉลามมายาวนาน ให้สัมภาษณ์ ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผล ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า ปริมาณการค้าฉลามที่เพิ่มขึ้นตามตลาดปลา-แพปลาในไทยมักเพิ่มขึ้นสูงในช่วงต้นปี โดยเฉพาะเมื่อใกล้เทศกาลตรุษจีน

 

สิ่งที่น่ากลัวคือ รณรงค์มา 20 ปีแล้ว แต่ประชากรในเมืองกลุ่มใหญ่ ก็ยังอยากลองทานหูฉลามอยู่... ตราบใดที่ตลาดยังต้องการ ก็มีการไปจับที่แหล่งอยู่ดี

 

ดร.เพชร ไม่อยากกล่าวโทษชาวประมง แต่ชี้ถึง "ช่องโหว่" ในกฎหมายไทยที่อนุญาตให้จำหน่ายฉลามเกือบทุกชนิดในฐานะ "สัตว์น้ำพลอยได้" เนื่องจากยังไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ยกเว้นฉลามหัวค้อนที่อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน และฉลามวาฬที่เป็นสัตว์สงวน

 

ที่น่าตกใจคือ "ไทยเป็นประเทศเดียวในโลก" ที่ขอสงวนสิทธิการขึ้นทะเบียน-เลื่อนบัญชีชนิดพันธุ์ ฉลามครีบดำทุกชนิดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไซเตสเป็นเวลา 7 ปี เพื่อเตรียมความพร้อม

 

ฉลามสะท้อนสุขภาพมหาสมุทร ทะเลที่ดีคือทะเลที่มีฉลาม มันเป็นตัวควบคุมสมดุล หากเราสูญเสียฉลามไป ระบบนิเวศน์ต่างๆ จะรวนไปหมด

- ดร.เพชร อธิบายผ่านบีบีซีไทย 

 

ในความเป็นจริงนั้นประเทศไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลาม พ.ศ. 2563-2567 แล้ว แต่การบังคับใช้ยังหละหลวม โดยยังพบการค้าฉลามในหลายจังหวัดทั่วไทย ทั้งระนอง ภูเก็ต สงขลา ปัตตานี และสมุทรสาคร เป็นต้น

 

ดร.เพชร ระบุด้วยว่า ทางการไทยยังบังคับใช้กฎหมายอย่างหละหลวม จึงยังเห็นภาพการค้าฉลามจนเกือบเหมือนปกติ โดยเฉพาะในช่วงเวลาใกล้ตรุษจีน

 

พบชิ้นส่วนฉลามกว่า 15 สายพันธุ์ วางขายเกลื่อนทั่วไป โดยเฉพาะช่วงตรุษจีน

 

องค์กรไวลด์เอด เคยเปิดเผยผลสำรวจพบว่า แต่ละปีมีฉลามตาย 100 ล้านตัว ในจำนวนนี้ 73 ล้านตัวถูกฆ่า เพื่อนำครีบมาเป็นซุปหูฉลาม และไทยเองมีตลาดค้าครีบฉลามที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก

 

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ไวลด์เอด ได้เผยแพร่ผลการศึกษาดีเอ็นเอผลิตภัณฑ์หูฉลามจากตัวอย่าง 206 ชิ้น จากหลายจังหวัดพบว่า มาจากฉลามอย่างน้อย 15 ชนิดพันธุ์ อีกทั้งปลาฉลามส่วนใหญ่กว่า 62% ที่พบในหูฉลามที่ขายในไทยยังมาจากสายพันธุ์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ โดยเป็นฉลามที่มีสถานภาพถูกคุกคามตามบัญชีแดงของ IUCN ด้วย

 

ไม่เพียงแต่ครีบเท่านั้น ดร.เพชร ในฐานะที่ปรึกษาของไวลด์เอด ยังระบุว่า ได้พบเทรนด์ใหม่ในการใช้อวัยวะทุกส่วนของฉลามมาใช้ประโยชน์ อาทิ ฉลามตากแห้งเพื่อเป็นอาหารทานเล่นของหมา แมว นั่นหมายความว่า เกิดอุปสงค์ใหม่ต่อการจับฉลาม ไม่ว่าจะจับในฐานะสัตว์น้ำพลอยได้หรือไม่ก็ตาม

 

ดังนั้น เขาจึงเสนอให้ยกเลิกการบริโภคฉลามและหากไม่มีกฎหมายรองรับจริง สังคมก็ต้องประณามด้วย

 

อย่างไรก็ตาม จากตรวจสอบโดยใช้ DNA ครั้งนี้ ฉลาม 15 สายพันธุ์ที่พบในผลิตภัณฑ์ตัวอย่างจากตลาด ได้แก่ ปลาฉลามหัวค้อนใหญ่ (Sphyrna Mokarran), ปลาฉลามหัวค้อนสแกลลอป (Sphyrna Lewini) และฉลามสันทราย (Carcharhinus Plumbeus) น่าตกใจก็คือมากกว่าหนึ่งในสามของสายพันธุ์ปลาฉลามที่ระบุไม่เคยถูกบันทึกไว้ในน่านน้ำไทยมาก่อน 

 

บ่งบอกถึงเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศที่กว้างขวางและซับซ้อน ซึ่งป้อนเข้าสู่ความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลาฉลามในท้องถิ่น โดยไม่สามารถติดตามตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) หรือหาแหล่งที่มาของห่วงโซ่อุปทานนี้ได้

 

ทีมวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ ประกอบด้วย กรมประมงของไทย WildAid และนักวิจัยจากประเทศไทย โดยได้เผยแพร่ผลการวิจัยเมื่อปีที่แล้วใน Conservation Genetics โดยได้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องในการตรวจสอบย้อนกลับในการค้าหูฉลามระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้สาธารณชนปฏิเสธการบริโภคหูฉลาม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้มาจากปลาฉลาม

 

พบชิ้นส่วนฉลามกว่า 15 สายพันธุ์ วางขายเกลื่อนทั่วไป โดยเฉพาะช่วงตรุษจีน

 

สำหรับไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาฉลามอันดับต้นๆ ของโลก ตามรายงาน ประจำปี 2558 ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โดยระหว่างปี 2555 ถึง 2559 ระบุว่า ไทยส่งสินค้าจากฉลามไปต่างประเทศ 22,466 เมตริกตัน ทำให้เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกในช่วงเวลาดังกล่าว

 

การค้นพบครั้งใหม่ชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้บริโภคจะตระหนักรู้มากขึ้นถึงความเสี่ยงโดยนัยของการฆ่าฉลามต่อสุขภาพของระบบนิเวศทางทะเล แต่ไทยยังเป็นตลาดหลักสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มาจากฉลาม 

 

ขอบคุณข้อมูล:

• https://www.seub.or.th/bloging/news/2024-28/

• https://www.bbc.com/thai/articles/ckrd72v8jz5o

• https://news.mongabay.com/2024/01/dna-probe-uncovers-threatened-shark-species-in-thailands-markets/

เครดิตภาพ: Nutch Prasopsin