ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคธุรกิจต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ถูกเรียกร้องให้มีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่กำลังอยู่ระหว่างเตรียมออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการจัดการก๊าซเรือนกระจก ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง 4 แนวทางในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อตอบสนองเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065
นายประพันธ์ศักดิ์กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 หรือ 2569 โดยสาระสำคัญของกฎหมาย คือ แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจ เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจพร้อมกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยมีการจัดเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจกที่สูง สำหรับองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก และจะลดลงเมื่อองค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ซึ่งครอบคลุมไปถึงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของธุรกิจด้วย
"การปรับตัวก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว" นายประพันธ์ศักดิ์กล่าว
พร้อมยกตัวอย่างว่า หากกระบวนการก่อสร้างบ้าน 1 หลังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 5-7 tCO2eq เหลือ 3-4 tCO2eq ต่อปี ก็จะช่วยลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายได้
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจและสังคมโดยรวม ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ต่อไปในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง