การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเผชิญและหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน ประเทศไทยเองก็ไม่ยกเว้นจากความท้าทายนี้ และได้ดำเนินการรับมือกับภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ด้วยเป้าหมายสำคัญที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 พร้อมทั้งแสดงความมุ่งมั่นต่อการเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวฐานเศรษฐกิจ โดยได้เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าของไทยในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero รวมถึงการวางแผนระยะยาว โดยระบุว่า...
ประเทศไทยได้วางเป้าหมายระยะยาวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายระยะยาวนี้ จำเป็นต้องมีการดำเนินการในระยะสั้นก่อน โดยประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายระยะสั้นคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2030
ล่าสุดในปี 2024 ประเทศไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก "ร่างพ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย" หรือ "พ.ร.บ.โลกร้อน" เสร็จสมบูรณ์แล้ว และแผนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งหลังจากผ่านการอนุมัติจาก สศช. แล้วจะถูกนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติในขั้นสุดท้าย เมื่อแผนได้รับการอนุมัติ จะสามารถดำเนินการในทุกภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภาคพลังงาน ขนส่ง อุตสาหกรรม การจัดการของเสีย และการเกษตร
หนึ่งในโครงการสำคัญที่เป็น "เรือธง" ของแผนนี้คือการทำคาร์บอนแคปเจอร์ (Carbon Capture) โดยบริษัท ปตท.สผ. ซึ่งโครงการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่ปล่อยออกจากกิจกรรมอุตสาหกรรม โครงการดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลักดันให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากการวางแผนระยะยาว ประเทศไทยยังได้เริ่มดำเนินการในหลายด้านพร้อมกันในปี 2024 โดยการติดตามผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่ผ่านมาได้แสดงผลที่น่าพอใจ โดยมีการลดก๊าซเรือนกระจกไปได้ประมาณ 60 ล้านตัน ซึ่งครอบคลุมทุกภาคส่วนที่กล่าวมา และยังมีการดำเนินการต่อเนื่องตามตัวชี้วัดรายปีเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะสั้นสำหรับปี 2030 นี้
ทั้งนี้อธิบดีกรมฯ ยังได้เน้นย้ำว่า การที่ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายระยะสั้นในปี 2030 ได้อย่างแน่นอน จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ทำให้การบรรลุเป้าหมายระยะยาวในปี 2050 และ 2065 เป็นไปได้จริง ทั้งนี้การดำเนินการที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน จะช่วยเสริมสร้างโอกาสให้ประเทศไทยสามารถก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ปัจจุบัน ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 30 ของประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วน 0.76% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยมีสาเหตุหลักมาจากภาคการผลิตพลังงาน การคมนาคมขนส่ง และภาคเกษตรกรรม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ โลกอาจเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิถึง 3-5 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ประเทศไทยตั้งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40% ภายในปี 2030 จากกรณีปกติ โดยยกระดับเป้าหมายในที่ประชุม COP26 ปี 2021 ที่ผ่านมา เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 เป้าหมายนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากการเงิน เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้อย่างยั่งยืน
ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า "NDC Action Plan" ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาว โดยในปี 2020 ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ถึง 15.4% จากการดำเนินการในภาคพลังงาน การคมนาคม และการเกษตร ในปี 2025 ประเทศไทยจะต้องส่ง NDC ฉบับที่ 2 เพื่อกำหนดแผนการลดก๊าซเพิ่มเติมในระยะปี 2031 - 2035 ซึ่งเป็นการต่อเนื่องจากแผนแรกที่ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 30-40% ภายในปี 2030 การดำเนินงานนี้จะเป็นกรอบหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศ
ประเทศไทยมีแผนการปรับตัวที่เรียกว่า “National Adaptation Plan” ซึ่งครอบคลุม 6 สาขาหลัก ได้แก่ การจัดการน้ำ เกษตร การท่องเที่ยว สาธารณสุข การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และความมั่นคงของการตั้งถิ่นฐาน มาตรการดังกล่าวจะช่วยเสริมความต้านทานต่อภัยพิบัติและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้สังคมไทยมีความพร้อมในการรับมือกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมในอนาคต
ในปี 2023 ประเทศไทยได้ประกาศเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคี COP29 ที่จะจัดขึ้นในกรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้คือการกำหนดเป้าหมายการสนับสนุนทางการเงินใหม่ (NCQG) ที่ประเทศพัฒนาแล้วจะต้องจัดสรรให้ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อสนับสนุนการปรับตัวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ การลดการปล่อยก๊าซให้ได้ 43% ภายในปี 2030 และการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียนเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ได้รับการเน้นย้ำในเวทีระหว่างประเทศ
ที่มาข้อมูลเพิ่มเติม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง