sustainability

ส่องเทรนด์ความมั่นคงทางอาหาร ประเทศคู่ค้าออกกฎลดการนำเข้าธัญพืช

    สนค. เผยสถานการณ์การความมั่นคงทางอาหารของโลก ประเทศจีน-สหรัฐฯ -ญี่ปุ่น - มาเลเซีย ซึ่งเป็นคู้ค้าสำคัญของประเทศออกนโยบายลดการนำเข้าธัญพืช เน้นพึ่งพาตนเอง หนุนการจ้างในประเทศ แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวทั้งการผลิตและการค้าให้สอดคล้องสถานการณ์ของโลก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การความมั่นคงทางอาหารของโลก พบว่าประเทศที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารรายสำคัญของไทย ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย มีมาตรการความมั่นคงทางอาหารในทิศทางเดียวกัน คือ การพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ลดการนำเข้า ยกระดับคุณภาพชีวิตประชากร และสนับสนุนการจ้างงานในประเทศให้มากขึ้น 

โดยจีนได้ออกกฎหมายความมั่นคงด้านอาหาร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 กำหนดให้กระบวนการและขั้นตอนการผลิตอาหารต้องดำเนินการและพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด เพื่อปกป้องอุปทานธัญพืชภายในประเทศ ปกป้องความมั่นคงทางอาหาร และปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง 

และได้กำหนดแนวทางนโยบายการเกษตรและการพัฒนาชนบทประจำปี ซึ่งให้ความสำคัญสูงสุดกับความมั่นคงทางอาหารเช่นกัน โดยมุ่งพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตธัญพืชในประเทศ และลดการนำเข้าจากต่างประเทศ 

ส่องเทรนด์ความมั่นคงทางอาหาร ประเทศคู่ค้าออกกฎลดการนำเข้าธัญพืช

ขณะที่สหรัฐฯ มีเป้าหมายสร้างความมั่นคงด้านอาหารที่ยั่งยืน เพื่ออนาคตที่ดีของประชาชน ลดความยากจน ลดความหิวโหย และภาวะขาดแคลนอาหารในทุกสถานการณ์ โดยเร่งพัฒนาพื้นที่มุ่งเน้นสร้างความเท่าเทียมของประชากร สร้างงานโดยใช้ภาคเกษตรผลักดันเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นคงทางอาหารสำหรับคนในชาติ ควบคู่กับเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น รวมทั้งใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และสร้างภาคเกษตรที่ยั่งยืน

ด้านญี่ปุ่นมีนโยบายเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในประเทศ ลดพึ่งพาการนำเข้า และผลักดันให้มีการผลิตข้าวสาลี ถั่วเหลือง ธัญพืชอาหารสัตว์ หญ้าแห้ง และปุ๋ยภายในประเทศเพิ่มขึ้น มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเอง มีเป้าหมายเพิ่มการเพาะปลูกสินค้าเกษตร พืชเลี้ยงสัตว์ ปรับฐานราคาสินค้าเกษตรให้เหมาะสม และส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการของเด็ก และการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม 

และมาเลเซียมีนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหาร เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนและยืดหยุ่นในภาคเกษตรกรรม ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการ เพิ่มกำลังการผลิตอาหาร และให้ประชาชนเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในราคาจับต้องได้ 

ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อพัฒนาภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ เพื่อเพิ่มผลผลิตและผลักดันการส่งออก ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีมาตรการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร

ส่องเทรนด์ความมั่นคงทางอาหาร ประเทศคู่ค้าออกกฎลดการนำเข้าธัญพืช

เมื่อพิจารณาสถานการณ์การนำเข้าสินค้าธัญพืช (HS Code 10) ของโลก สะท้อนให้เห็นการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงทางอาหาร พบว่า ในปี 2566 โลกนำเข้าธัญพืช 176,156.7 ล้านดอลลาร์ ลดลง 13.4% จากปีก่อนหน้า สินค้าธัญพืชที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก คือ 

  • ข้าวสาลีและเมสลิน มีสัดส่วน 37.1%
  • ข้าวโพด มีสัดส่วน 34.7% 
  • ข้าว มีสัดส่วน 18.8%
  • ข้าวบาร์เลย์ มีสัดส่วน 6.5%
  • ข้าวฟ่าง มีสัดส่วน 1.3%  

ทั้งนี้ ประเทศผู้นำเข้าอาหารรายใหญ่ของไทยมีการนำเข้าสินค้าธัญพืช ดังนี้ 

  • จีน มีการนำเข้าธัญพืช 20,544.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าธัญพืชสูงสุดอันดับหนึ่งของโลก มีสัดส่วน 11.7% 

ธัญพืชที่จีนนำเข้ามาก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลีและเมสลิน และข้าวบาร์เลย์ โดยจีนนำเข้าจากบราซิลมากที่สุด มีสัดส่วนร้อยละ 19.7% รองลงมา คือ สหรัฐฯ มีสัดส่วน 18.5 และนำเข้าจากไทยเพียง 298.4 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 1.5% 

  • สหรัฐฯ มีการนำเข้าธัญพืช 3,588.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า โดยสหรัฐฯเป็นผู้นำเข้าธัญพืชอันดับ 14 ของโลก มีสัดส่วน 2% 

ธัญพืชที่สหรัฐฯ นำเข้ามาก ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลีและเมสลิน ข้าวโอ๊ต โดยสหรัฐฯ นำเข้าจากแคนาดามากที่สุด มีสัดส่วน 47.9% และนำเข้าจากไทยเป็นอันดับสอง มีมูลค่า 733.7 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 20.4% 

  • ญี่ปุ่น มีการนำเข้าธัญพืช 8,149.4 ล้านดอลลาร์ ลดลง 16% จากปีก่อนหน้า โดยญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าธัญพืชอันดับ 3 ของโลก รองจากจีน และเม็กซิโก มีสัดส่วน 4.6% ของการนำเข้าธัญพืชของโลก 

ธัญพืชที่ญี่ปุ่นนำเข้ามาก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลีและเมสลิน และข้าวโดยญี่ปุ่นนำเข้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด มีสัดส่วน 43.2% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของญี่ปุ่น และนำเข้าจากไทย 199.3 ล้านดอลลาร์ (นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 6) คิดเป็นสัดส่วน 2.4% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของญี่ปุ่น 

  • มาเลเซีย มีการนำเข้าธัญพืช 2,529.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า โดยมาเลเซียเป็นผู้นำเข้าธัญพืชอันดับ 20 ของโลก มีสัดส่วน 1.4%  

ธัญพืชที่มาเลเซียนำเข้ามาก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าว และข้าวสาลีและเมสลิน โดยมาเลเซียนำเข้าธัญพืชจากอาร์เจนตินามากที่สุด มีสัดส่วน 29.4% และนำเข้าจากไทยเป็นมูลค่า 212.8 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 8.4% 

ส่องเทรนด์ความมั่นคงทางอาหาร ประเทศคู่ค้าออกกฎลดการนำเข้าธัญพืช เมื่อพิจารณาการส่งออกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าธัญพืชส่งออกที่สำคัญของไทย ในปี 2566 ไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย มีมูลค่าการส่งออก 5,144.44 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 29.33% จากปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่

  • อินโดนีเซีย 14.2%
  • สหรัฐอเมริกา 12.3%
  • แอฟริกาใต้ 8.9%
  • อิรัก 8.2%
  • จีน 6.0%

โดยไทยส่งออกข้าวไป 5 ประเทศดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% หรือครึ่งหนึ่งของการส่งออกข้าวไทยไปตลาดโลก สำหรับในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม – พฤษภาคม) ของปี 2567 ไทยส่งออกข้าวเป็นมูลค่า 2,659.53 ล้านดอลลาร์ ปริมาณ 4.06 ล้านตัน ขยายตัว 39.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

นายพูนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยต่างให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหาร โดยเน้นการพึ่งพาตนเองมากขึ้น สนับสนุนเกษตรกรในประเทศ และลดการนำเข้า โดยธัญพืชเป็นสินค้าสำคัญสำหรับความมั่นคงทางอาหาร ปัจจุบันการส่งออกธัญพืชของไทยในภาพรวมยังเติบโตดี 

ส่องเทรนด์ความมั่นคงทางอาหาร ประเทศคู่ค้าออกกฎลดการนำเข้าธัญพืช อย่างไรก็ตาม จะต้องติดตามสถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารของโลกอย่างใกล้ชิด รวมถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ไทยสามารถปรับกลยุทธ์ทั้งด้านการผลิตและการค้าให้สอดคล้องสถานการณ์ของโลก 

รวมถึงแนวทางการปฏิบัติที่ดีของประเทศต่าง ๆ ในการกำหนดนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคงทางอาหารมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยกำหนดแผนพัฒนาระบบเกษตรและอาหารให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพของคนไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป