รัฐธรรมนูญ2560 กับอำนาจตามม.44คสช.

03 ม.ค. 2561 | 07:37 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ม.ค. 2561 | 14:37 น.
หากพิจารณารูปแบบทางกฎหมายของการรัฐประหาร หรือการยึดอำนาจการปกครองโดยทหาร จากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งแทบทุกครั้งจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะนับจากการรัฐประหาร 4 ครั้ง จากปี 2519 โดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ปี 2535 พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ, ปี 2549 พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร และปี 2557 พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเห็นรูปแบบการใช้อำนาจทางกฎหมายไม่แตกต่างกัน

ทั้งหมดจะเริ่มต้นที่คำแถลงการณ์ของคณะรัฐประหาร เพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ล้มล้างหรือยกเลิกการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จากนั้นก็ประกาศให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแทน ตามด้วยประกาศและคำสั่งต่างๆของหัวหน้าคณะรัฐประหารในเรื่องต่างๆ ที่มีผลบังคับเป็นกฎหมายบังคับกับทุกคนในประเทศ ถือเอาคณะรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือผู้เป็นหัวหน้าคณะ “เป็นองค์รัฏ ฐาธิปัตย์”สามารถออกประกาศหรือคำสั่งให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย กระทั่งจะยกเลิก ปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายฉบับใดก็สามารถกระทำได้ จะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการผู้ใด ตำแหน่งใด ก็ทำได้หมดทุกตำแหน่ง เรียกว่าอำนาจอธิปไตยของประเทศอยู่ในกำมือคณะรัฐประหาร

จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการออกคำสั่งจัดตั้งสมาชิกสภาฯ ในชื่อต่างๆ เช่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ, หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ สุดแท้แต่จะชอบ แทนสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกคณะรัฐประหารยกเลิกไป เพื่อให้มาทำการพิจารณากฎหมายและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อนำไปสู่การให้มีการเลือกตั้งโดยทั่วไป เข้าสู่การมีประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งอีกครั้ง คืนอำนาจแก่ประชาชน เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้ว อำนาจคณะรัฐประหารก็จะสิ้นสุดลง หากจะมีอำนาจเหลืออยู่บ้างก็เท่าที่จำเป็นอย่างยิ่งหรือมีบทเฉพาะกาลไว้คุ้มครองหรือนิรโทษการกระทำใดๆของคณะรัฐประหารมิให้เป็นความผิดตามกฎหมาย หรือเพื่อมิให้ผู้ใดนำมาฟ้องร้องเอาผิดในภายหล้งลงจากอำนาจเท่านั้น

tp6-3328-b ดูตัวอย่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด คือปี 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอันเกิดจากการรัฐประหาร โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อมีพระบรมราชโองการให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวแล้ว ก็ได้บัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาล ม.298 ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหาราชการแผ่นดินอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยังคงเป็นคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้สิ้นสุดเมื่อมีคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญนี้เข้ารับหน้าที่ พร้อมกับกำหนดให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตามรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ้นจากตำแหน่งไปทั้งคณะพร้อมกับคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจใดๆ แก่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคณะรัฐประหารไว้ในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

ส่วนในบทที่จะนิรโทษความผิดให้แก่คณะรัฐประหาร ก็เขียนบัญญัติไว้สั้นๆใน ม.309 ว่า บรรดาการใดๆที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรม นูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

จะเห็นได้ว่าในการรัฐประหารทุกครั้ง หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งมักจะมีพระราชพิธีในการพระราชทานรัฐธรรมนูญจากพระมหากษัตริย์ และมีพระบรมราชโองการประกาศให้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีผลบังคับใช้แล้ว อำนาจของคณะรัฐประหารก็จะสิ้นสุดลง รัฐธรรมนูญทุกฉบับ จะไม่มีบทบัญญัติรับรองหรือให้อำนาจแก่คณะรัฐประหารใช้อำนาจเป็นองค์รัฐาธิปัตย์อีกต่อไป หากจะมีอำนาจก็คงมีเพียงเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติเท่านั้น

แต่ปรากฏว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 กลับมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับจากที่กล่าวมา โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในบทเฉพาะ กาล นอกจากจะมีบทว่าด้วยการคงอยู่และความสิ้นสุดของคณะรัฐมนตรี ตาม ม.264 แล้ว ยังคงมีบทบัญญัติใน ม.265 ให้ คสช.ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปเข้ารับหน้าที่ และในระหว่างนี้ หัวหน้า คสช.ยังมีอำนาจครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวทุกฉบับ โดยให้ถือว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจของหัวหน้า คสช.และคณะยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6-15

สรุปง่ายๆ สั้นๆ ก็คืออำนาจ คสช.ตาม ม.44 ของรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) ยังคงมีอยู่โดยครบถ้วนทุกประการ แม้จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับถาวรแล้วก็ตาม ส่วนบทนิรโทษความผิดและการกระทำใดๆนั้นของ คสช.ก็มีบัญญัติไว้ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งกว่าฉบับใดๆเสียอีก โดยบัญญัติไว้ใน ม.279 ซึ่งมีผลนิรโทษความผิดที่ได้ทำมาแล้ว รวมไปถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้อีก จากการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ตาม ม.265 วรรคสอง จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 นี้ เป็นฉบับเหาะเหินตีลังกา มีอภินิหารทางกฎหมายเหนือกว่ารัฐธรรมนูญฉบับใดๆ เท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย ปัญหาอันเป็นข้อห่วงใยและน่าวิตกอย่างยิ่ง และเชื่อว่าจะเป็นปัญหาในทางกฎหมาย และส่งผลเสียหายในทางการเมือง การปกครองประเทศอย่างยิ่งก็คือ รัฐธรรมนูญของไทย ไม่เคยมีบทบัญญัติรับรองการใช้อำนาจของบุคคลใด คณะใด ให้มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ แม้แต่บทว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ก็มีบัญญัติในม.3 เพียงว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” เท่านั้น

ดังนั้นการที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีบทบัญญัติให้ หัวหน้า คสช.และคณะ มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน เหนือยิ่งกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยปราศจากกลไกหรืออำนาจใดมาตรวจสอบถ่วงดุลนั้น สมควรและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองของไทยหรือไม่ ควรมิควรสาธุชนได้โปรดพิจารณา

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,328 วันที่ 4 - 6 มกราคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9