คนอายุร้อยปี ฝ่ายจีนว่าเปนเซียน เซียนตรงที่อายุยืนนานผิดกันกับคนทั่วไป ยามมรณกรรมมาเยือนท่านผู้เฒ่าร้อยปีอย่างนี้ เขาไม่แต่งดำไว้ทุกข์ในงานปลงศพ แต่ให้ใส่สีสันไปร่วมงานแทน นัยว่าเซียนหมดเวลาในโลกมนุษย์ต้องยินดีที่ท่านกลับสวรรค์ ไม่มีเหตุให้ต้องเศร้าโศกนัก ต่างจากพวกไม่ใช่เซียน ไม่รู้แน่ว่าจะไปที่อื่นนอกจากสวรรค์หรือเปล่า จึงต้องสลดใจโศกาอาดูรแกมห่วงหา
ในโลกวัฒนธรรมผสมอเมริกัน_จีน ยังมีเซียนประเภทนี้ ทั้งกลับเปนสตรี และไม่ใช่สตรีธรรมดาเสียด้วยเปนสตรีฝีมือชั้นเซียน ซึ่งจากโลกมนุษย์ไปในวัย 106 ปี เธอผู้นี้_ซ่งชิงหลิง มาดามของประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค แห่งไต้หวัน ฟอร์โมซ่า
เท้าความไปในอดีต ยามเมื่อสิ้นวงศ์ อ้ายซินเจี๋ยหลอ ราชสำนักจีนล่มสลาย หยวนซื่อไข่ หาเรื่องฮุบแผ่นดินตั้งตนเปนฮ่องเต้ ดร.ซุนยัดเซ็น_แพทย์ทันสมัยหัวก้าวหน้าที่กระโจนลงมาสู่สนามการเมือง หาทางกู้สถานการณ์รวบรวมผู้มีฝีมือก๊กต่างๆ รอนแรมมาถึงปีนัง ตั้งสำนักงานลับอยู่ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจาก ร้อกกีเฟลเลอร์บูรพา_เฉิงฟัตเจ๋อ บางคราวก็ล่องเรือโต้คลื่นมาขึ้นที่ท่าน้ำราชวงศ์ กงซีล้งเยาวราช ไปนอนในหลืบตึกซอกสำเพ็ง เจรจาสมาคมลับ secret society กับอั้งยี่พ่อค้าจีนที่หากินในเมืองไทย
ทว่าคนที่รักและนับถือกันอย่างครูและศิษย์ มือข้างขวาของ ดร. ซุนนั้น เปนนายพันหนุ่มนามเจียงไคเช็ค ผู้สำเร็จโรงเรียนนายร้อยญี่ปุ่นและเปนอาจารย์ใหญ่โรงเรียนทหารเมืองจีนเวลานั้น มือข้างซ้าย เปน นักปฏิวัติหนุ่มกว่านาม เหมาเจ๋อตุง ผู้ไม่ได้ออกไปเรียนเมืองนอก แต่เฝ้าเอาหูแนบดินปฏิบัติการชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ กันอยู่ในหมู่ตึกที่เรียกว่า ซินเทียนตี้ ประเดี๋ยวนี้ในเซี่ยงไฮ้ เปนสองมือซ้ายขวาที่ต่อมาขาดสะบั้น เดินคนละเส้นทางและไม่มีวันหวลกลับมาบรรจบกันอีกจนบัดนี้
อีทีนี้ก็จะมาถึงว่า ดร.ซุนนั้น แก่ตัวลงแล้วสมรสใหม่กับสตรีผู้หนึ่ง มาจากตระกูลซ่ง
อีทีนี้ก็มาถึงอีกว่า เจียงไคเช็คนั้น แก่ตัวลงก็สมรสใหม่กับอีกสตรีหนึ่ง มาจากตระกูลซ่งเช่นกันสองศรีสตรีนั้นเปนพี่น้องกัน คนแรกนามว่า ซ่งชิงหลิง อีกคนนามว่า ซ่งเหม่ยหลิง
อิทธิพลของซ่งชิงหลิง ภริยา ดร.ซุนนั้น เอาเปนว่าขนาดทั้งเหมา และ เจียงต่างก็เกรงใจ ก็ในฐานะเมียครูบาอาจารย์ล่ะน่า ยามตกที่นั่งลำบากคาบลูกคาบดอก เหมาเกือบจะพิฆาตเจียงได้แล้ว การปรากฏตัวหย่าศึกของซ่งชิงหลิง ในฐานะรองประธานใหญ่สภาประชาชนจีน ทำเอาสองฝ่ายต้องเลิกแล้วต่อกัน จนผลกระทบนั้นส่งให้จีนไม่อาจเปนแผ่นดินเดียวต้องแยกแตกเปนสองคือ แผ่นดินใหญ่ ใช้คอมมิวนิสต์สังคมนิยม กับ คณะชาติไต้หวัน ใช้ทุนนิยมเสรี อย่างว่ามีทะเลมากั้น
ข้างซ่งเหม่ยหลิงคนน้อง สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสตรีในแมสซาชูเส็ตส์ มีบิดาเข้ารีตเปนคริสต์ ทำให้ได้มีโอกาสรับทุนของคริสตจักรไปศึกษาในวิทยาลัยฝรั่งๆ แต่เล็ก เธอพูดเเละเขียนอเมริกันคล่องกว่าจีน สามารถบุกไปล็อบบี้รัฐบาลอเมริกัน เข้าหลังบ้าน ปธน. รูสท์เวลท์ ดีลกับภริยาผู้มีอิทธิพลครอบงำอย่าง เอลินอร์ (ซึ่งมีกิ๊กลับเปนนายสิบสายลับคอมมิวนิสต์นามโจเซฟคนหนึ่ง และเปนนักข่าวสาวนามรอรีน่า อีกคนหนึ่ง) และปราศรัยระดมทุนรอบสหรัฐได้ตั้งแปดเดือน กลับต้องเรียนภาษาจีนเสริมเมื่อภายหลัง
การสมรสของมาดามเจียงนี้ ค่อนจะแปลกอยู่ที่ประกาศกันว่า คู่อื่นแต่งงานแล้วก็ร่วมหอลงโรงช่างประไร แต่ของมาดามแล้วไซร้หอไม่ร่วม หมายว่า sexual intercourse ของบ่าวสาวตลอดอายุการแต่งงานนั้น_ไม่มี เปนเเต่เรื่องแต่งงานร่วมอุดมการณ์การปลดปล่อยจีนออกจากแอกคอมมิวนิสต์เท่านั้น เหม่ยหลิงมีบทบาทอย่างมากในการดึงทุนสนับสนุนจากอเมริกามาส่งให้ไต้หวันวันตั้งประเทศ รวมทั้งการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เรือบิน เรือไม่บินต่างๆอีกด้วย
เส้นทางชีวิตของสองพี่น้องสกุลซ่งนั้นตัดกันไม่ขาด แม้คนพี่เปนมาดามซุน ตั้งรกรากบริหารงานแผ่นดินอยู่ปักกิ่งในระบบสังคมนิยม คนน้องเปนมาดามเจียง ตั้งรกรากอยู่เกาะฟอร์โมซ่าไต้หวัน เปนที่ทราบกันดีว่าสายสัมพันธ์โลหิตหลังบ้านเช่นนี้เปนเครื่องประคับประคองไมตรีลับของสองแผ่นดินเสมอมา อย่างว่าตัดไม่ตาย_ขายไม่ขาด
ขณะที่ เอกอัครราชทูตสตรี แคลร์ บี. ลูศ คิดว่า เธอมีลักษณะวีรสตรี เหมือน โยน ออฟ อาร์ค, เออร์เนส ฮัมมิ่งเวย์ เฒ่าทะเลนักเขียนบันลือโลก กลับให้ฉายาโดยซื่อตรงแก่เหม่ยหลิง_มาดามเจียงไคเช็คว่า คนนี้แหละ The Empress- จักรพรรดินี, The Last Empress จักรพรรดินีคนสุดท้ายของเมืองจีน.
ยามเจียงไคเช็ค จากไป ซ่งเหม่ยหลิงผู้น้องก็นิราศออกจากไต้หวันไปอยู่ในนิวยอร์ก ว่าราชการอย่างว่าล็อบบี้ทางการเมืองเรื่อยไป ด้วยเปนงานที่ถนัดและมีความสุขจากสายสัมพันธ์กับมันสมองที่สั่งสมมาแต่หนหลัง เหม่ยหลิงไม่ได้มีสุขภาพดีนักเธอเปนมะเร็งเต้านม แต่รักษาหาย บินกลับไปไต้หวันบ้างยามมีศึกเลือกตั้ง และตกลงวางมือจากงานล็อบบี้ในวัยปลายเก้าสิบ แม้ว่ายังออกงานสังคมในวัย 103 ฝากข้อคิดแก่ชีวิตตั้งอุดมการณ์และการลงมือทำไว้ว่า “We write our own destiny; We become what we do.”
ผลลัพธ์จากประโยคอมตะนี้ พิสูจน์ได้ที่ตัวเธอผู้เอ่ยเอื้อนจริงแท้ ซึ่งเธอกระทำตามนั้นมาอย่างต่อเนื่อง และโดยตลอด ซ่งเหม่ยหลิง จักรพรรดินีคนสุดท้าย.
หน้า 27 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,545 วันที่ 2 - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563