บริโภคพุงปลิ้น 1,600 ล้าน วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง

12 มิ.ย. 2563 | 12:00 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2563 | 09:08 น.

คอลัมน์ห้ามเขียน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3583 หน้า 20 ระหว่างวันที่ 14-17 มิ.ย.63 โดย... พรานบุญ

บริโภคพุงปลิ้น 1,600 ล้าน

วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง

 

          กระจองงอง กระจองงอง กระจองงอง นายกฯ ลุงตู่เอร้ย!

          ข่าวล่ามาไว ป้องปาก ซุบซิบกันอย่างมันปากไปทั้งท้องทุ่งบึง มักกะสันยันพระรามเก้าว่า คณะกรรมการ และคณะผู้บริหารของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) MCOT ที่มี พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 4 เป็นประธาน เขมทัตต์ พลเดช เป็น กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เป็นหัวเรือขององค์กร ที่กระทรวงการคลังถือหถุ้นใหญ่อยู่ 452,134,022 หุ้น หรือ 65.80% ธนาคารออมสินถืออยู่ 78,865,978 หุ้น คิดเป็น 11.48% กำลังทำงานใหญ่ที่พิลึกกึกกือ...ชนิดที่ผู้ถือหุ้นอ้าปากค้าง

          ผ่างๆ....รัฐวิสาหกิจแห่งนี้ใจดี๊ ใจดีขนาดยอมแบ่งค่าเวนคืนเป็นพันล้านบาทให้กับคู่สัญญา โดยเงินไม่ต้องมาที่ตัวเองก็ได้...ประเทศอื่นอาจจะไม่เคยมี แต่ที่ประเทศสาระขันธ์ ดันมี...อีเห็นตะโกนก้องดังสนั่นทั้งพงไพร

          นายกฯ ลุงตู่ อาจจะตื่น แต่ยังไม่ลืมตา ขณะที่ รัฐมนตรี เทวัญ ลิปตพัลลภ ที่กำกับดูแล อาจจะอ้าปากแต่ไม่ทันได้พูด นังบ่างจึงปูดเรื่องนี้ให้แดงฉาวโฉ่ไปทั้งเมือง

          อะแฮ่ม..เรื่องมีอยู่ว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีการเรียกคืนคลื่นความถี่ย่าน 2500-2690 เมกะเฮิรตซ์ กว่า 140 เมกกะเฮิร์ต ที่บริษัท อสมท ถือครองอยู่เป็นเจ้าของคลื่นอยู่ และจะจ่ายเงินทดแทนเป็นการชดเชยค่าคลื่นความถี่ให้บริษัท อสมท 

          วงเงินชดเชยค่าเวนคืนคลื่นความถี่นั้นทาง กสทช.เขาใจปั้มมากๆ ยอมจ่ายให้ถึง 3,235,836,754 บาท (อ่านว่า สามพัน สองร้อย สามลิบห้าล้าน แปดแสน สามหมื่น หกพัน เจ็ดร้อย ห้าสิบสี่บาท) โดยนับเอาสิทธิการถือครองคลื่นนี้มาใช้ประโยชน์เป็นเวลา 6 ปี กับอีก 5 เดือน

          แต่ที่พิลึกกึกกือ จนอีแร้งพากันกระพือปีกคือ แทนที่จะจ่ายเงินค่าเวนคืนคลื่นความถี่ทั้งก้อน 3,235 ล้านบาท มาให้กับบริษัท อสมท ที่เป็นผู้ครอบครองสิทธิ์ทั้งก้อน กลับมีกระบวนการอันพิศดารพันลึก ที่อาศัยอำนาจของ พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา ประธานกรรมการ เขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ไปพิจารณาอนุมัติเห็นชอบให้ กสทช.จ่ายค่าเวนคืนให้กับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง

          คือ บริษัท เพลย์เวิร์ค จำกัด ที่เป็นคู่สัญญากับ อสมท ครึ่งหนึ่ง

          เงินครึ่งหนึ่งของค่าเวนคืนที่ไปจัดการเพื่อจ่ายให้เอกชน ผ่ากระบวนการมติของหน่วยงานของรัฐนั้น ไม่มากไม่มายขอรับแค่ 1,617 ล้านบาทเอง...อะแฮ่ม...แพร่บๆ!

          มติแบบนี้แหละครับที่ “ร้อนฉ่า” จนทำให้กรรมการ 2 คน คือ พิเศษ จียาศักดิ์ กรรมการผู้เชี่ยวชาญพหุวิทยาการ คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และปาริชาต สถาปิตานนท์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่เห็นด้วย และลาออกทันทีหลังมตินี้ออกมา ตามด้วย มนตรี แสงหิรัญ ก็ลาออกอีกคน ขณะที่ “สุวิทย์ มิ่งมล” นักข่าวรัฐสภาที่เป็นประธานสหภาพ อสมท พากันร้องระงมไปถึงหูนายกฯ

          นังบ่างซักถามว่า แล้วการทำแบบนี้มันเป็นพิลึกกึกกืออย่างไร!

          อีเห็นเล่าให้เป็นภาษาชาวบ้านว่าอย่างนี้...อสมท คือเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ วันหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีการตกลงกับเอกชนรายหนึ่งให้เช่าที่แปลงดังกล่าวเพื่อพัฒนาที่ดิน ผ่านมาร่วม 10 ปี จนปัจจุบัน เอกชนก็ยังไม่พัฒนาที่แปลงนี้ ยังไม่มีการลงทุน แต่มีการออกแบบ วางแปลนไว้เสร็จสิ้น ทำการโหมประโคมให้ข่าวว่าจะลงทุนพัฒนาโครงการ แต่แล้วจู่ๆ ราชการก็มาเวนคืนที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อนำไปสร้างถนน โดยจ่ายเงินค่าเวนคืนให้ 3,235 ล้านบาท

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

          คำถามคือ หน่วยงานราชการจะจ่ายเงินค่าเวนคืนก้อนนี้ให้ใคร...เจ้าของที่ดินหรือผู้ที่เช่า

          ปกติถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่ ก็ต้องจ่ายค่าเวนคืนที่ให้กับเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งก็คือ อสมท จริงมั๊ย?

          แต่กรณีนี้ มันต้องมีอะไรในกอไผ่ จึงต้องใช้อำนาจของประธานตั้งให้ “กรรมการผู้อำนวยการใหญ่” ไปมอบสิทธิ์ให้หน่วยงานของรัฐคือ กสทช.จ่ายเงินค่าเวนคืนครึ่งหนึ่งให้กับเอกชนผู้เช่าคือ บริษัทเพลย์เวิร์ค ครึ่งหนึ่งคือ 1,617 ล้านบาท... เปรมสิขอรับนายท่าน

          นังบ่าง นังชะนี ผู้ขี้สงสัยซักต่อไปว่าแล้ว มันทำได้อย่างไร บริษัทนี้มาได้งัย...แล้วทำไมได้สิทธิ์ที่เป็นลาภอันมิควรได้...

          มาดูนี่สัญญาระหว่าง อสมท กับ เพลย์เวิร์ค เริ่มมาตั้งแต่ปี 2553 โดยสัญญาทำในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ส่ง “สุธรรม แสงประทุม-ธงทอง จันทรางศุ-จักรพันธ์ ยมจินดา” เข้ามานั่งเป็นบอร์ด สัญญาเป็นการทดลองทดสอบระบบ 4 จี หรือ LTE เพื่อให้บริการโทรทัศน์บนเทคโนโลยีแบบบรอดแบนด์ไร้สาย (BWA) แต่ปรากฎว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคลื่นความถี่ 2500-2690 MHz ตามตารางคลื่นความถี่แห่งชาติ กำหนดให้เป็นคลื่นที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคม จึงไม่สามารถอนุญาตให้ใช้ได้

          กสทช.จึงสั่งการให้ อสมท ไปดำเนินการแก้ไขการใช้งานให้ตรงตามวัตถุประสงค์ในทันที ตามมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 โน่น 19 มกราคม 2559 MCOT จึงแก้ไขสัญญาทางธุรกิจ ที่ทำไว้กับ บริษัท เพลย์เวิร์ค...แสดงว่าที่ตกลงกันมาทำไม่ได้

          18 มิถุนาย 2561 อสมท จึงเริ่มคิกออฟให้บริการคอนเทนท์ “บรอดแบนด์ไร้สาย” โดยมี บริษัท เพลย์เวิร์ค เป็นผู้ทำตลาด และมีการดึง บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด (AWN) ในเครือเอไอเอส และ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) มาเช่าใช้โครงข่ายในสัญญาณคลื่นความถี่ 2600 โดยจะมีการติดตั้งอุปกรณ์ 30 จุด ผ่านเสาส่งสัญญาณของเอไอเอสและทรู  ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อทดลองให้บริการรับชมคอนเทนท์บรอดแบนด์ไร้สาย และการทำคอนเทนท์สตรีมมิ่ง เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมสื่อในยุค 4.0 สามารถรับชมผ่านอุปกรณ์ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต ทั้งสมาร์ทโฟน และแทบเล็ต 

          ภาวิช ทองโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัทเพลย์เวิร์ค ผู้มีสายสัมพันธ์ในการดูแลอุ้มชูบุตรหลายชินวัตร ตั้งเป้าว่าในปีแรกจะมีรายได้ 300 ล้านบาท...555

          ลงทุนไปเท่าไหร่ไม่รู้ แต่กะว่าปีแรกจะมีรายได้แค่ 300 ล้านบาท แต่แล้วจู่ๆ ดันมีคนประเคนเงินให้เพลย์เวิร์ค จากค่าทำสัญญาต่อกันโดยไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายนัก 1,617 ล้านบาท ..คุ้มจริงๆ คุ้มกว่าทุกสิ่ง คุ้มหัวใครไม่รู้

          การจัดการ และมติแบบพิลึกกึกกือแบบหมูเขาจะหาม ห้ามใครเอาคานมาสอดเยี่ยงนี้ ต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่นอน

          อีเห็นบอกว่า “นายพล พ.” ที่ส่งคนมาทำงานครานี้ กำลังจะหาทางบริโภคอาหารชามใหญ่ แบบ

          วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง ในภาคต่อหลังจากจัดการในซีรีส์ 1,617 ล้านบาท ชุดนี้เสร็จสมอารมณ์หมาย จบลงไปแล้ว...หึหึ

          พรานไม่เชื่อว่า นายพล พ. จะทำเยี่ยงนี้ได้ ลำพัง อสมท ครึ่งหนึ่ง เอกชนครึ่งหนึ่ง คนที่ทำงานก็พากันคันคอ ไอ สนั่นแบบไม่กลัวโควิด..แต่ ไอ คุกๆ ไอ คุกๆ กันทั้งบางแล้ว

          ถ้ายังจะมีหน้ามาแบ่งวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่งกะเงิน 1,617 ล้านบาทอีก ใครรับประทานเงินหลวงไป บั้นปลายไม่ได้ดีสักคนนึง...แต่เอ๊ะ...ทำไมกลิ่นของเน่าจึงโชยไปทั่วพระรามเก้า ก็ไม่รู้...หุหุ