เราเคยประเมินเวียดนามผิดในอดีต ในยุคปีค.ศ. 1995 เรามองเวียดนามที่กำลังเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ ในยุคนั้นเวียดนามเต็มไปด้วยประชาชนยากจน ปัญหาสังคมเยอะมาก มีทั้งปัญหาความยากจน ปัญหาลักเล็กขโมยน้อย ปัญหาโสเภณี ปัญหาการว่างงาน ปัญหาผู้ชายขี้เกียจผู้หญิงขยัน แต่มีผู้รู้หลายๆสำนัก บ้างก็ออกมาพูดว่าในอนาคตเวียดนามจะเป็นคู่แข่งกับประเทศไทย บ้างก็บอกว่าเวียดนามจะก้าวเข้าสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เราก็อดคิดในทางลบว่า ผิดไปหรือเปล่า เป็นไปไม่ได้หรอก เขายังห่างชั้นกับไทยหลายช่วงตัว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางด้านสังคม การพัฒนาทางด้านทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี การพัฒนาด้านเมืองที่มีแต่บ้านเก่าๆ
แล้วเป็นไงละครับ วันนี้เวียดนามเขาไปไกลมากๆแล้วจริงๆ ไม่ต้องเข้าไปดูอื่นไกล เอาแค่กีฬาวันนี้ เขาก็เป็นคู่แข่งสำคัญของไทยไปแล้วครับ อีกทั้งท่านที่เคยเข้าไปเวียดนามมาเมื่อสิบ-ยี่สิบปีก่อน แล้วไม่ได้เข้าไปอีกเลย ท่านลองเข้าไปใหม่ซิครับ ไม่ว่าจะเป็นเมืองสำคัญอย่างฮานอย โฮจิมินห์ ดานัง หรือเมืองรองอื่นๆหลายเมือง ตึกรามบ้านช่องสูงๆใหญ่ๆ เขาเปลี่ยนไปเยอะมาก สังคมก็เปลี่ยนไป ในอดีตถ้าเราเดินไปตามท้องถนน พอเดินชนกัน เงินหรือปากกาที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ จะอันตรธานหายไปในพริบตา แต่วันนี้แม้จะมีรถจักรยานยนต์ที่จำนวนไม่เคยลดลง แต่ความปลอดภัยนั้นดีกว่าเดิมเยอะมาก
ผมเคยขับรถอยู่บนถนนย่านโฮจิมินห์ เห็นเด็กผู้หญิงจูงสุนัขออกมาเดินเล่น ปรากฏว่ามีจักรยานยนต์ขับมา ผู้ชายสองคนที่อยู่บนรถ คนซ้อนท้ายลงมาแล้ววิ่งไปแย่งสุนัขที่จูงอยู่ของเด็กผู้หญิง อุ้มแล้วกระโดดขึ้นท้ายรถหนีไปเฉยเลย เด็กก็ยืนงงๆอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงร้องให้คนช่วย ไม่เห็นมีใครช่วยสักคนมีแต่ยืนดูแล้วก็หัวเราะแบบขำๆกัน อีกเรื่องหนึ่ง ผมส่งน้องบัญชีเข้าไปช่วยบริษัททำบัญชีที่โฮจิมินห์ เขาใส่สร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ หนักสักสองสลึง ตกเย็นอยากนั่งรถมอเตอร์ไซค์เที่ยว ปรากฏว่าช่วงรถติดหน้าไฟแดง รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ข้างๆมีผู้ชายสองคน เจ้าคนซ้อนท้ายเอื้อมมือมากระชากสร้อยคอ แล้วขับรถซอกแซกหนีไปเฉยเลย น้องเขาก็งงๆครับ ร้องยังไม่ทันได้ร้องออกมาเลยครับ
นี่คือสังคมเวียดนามเมื่อสักสิบกว่าปีก่อน แต่มาวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว วันนี้มีนักลงทุนจากต่างชาติเข้าไปเวียดนามมากหน้าหลายประเทศ หลากหลายธุรกิจ ประชาชนชาวเวียดนามเริ่มมีงานทำมากขึ้น ผู้คนอยู่ดีกินดีมากขึ้น ทำให้ปัญหาสังคมลดลง ความเข้มข้นของการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีมากขึ้น ผู้คนเริ่มเกรงกลัวต่อกฏหมายมากขึ้น การพัฒนาด้านบ้านเมืองและเศรษฐกิจเริ่มชัดเจน และมีการก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด เราจะมาดูถูกเวียดนามไม่ได้แล้วครับ วันนี้เขามาไกลแล้วจริงๆ เป็นไปตามที่ผู้รู้หลายสำนักพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนเป็นจริงตามนั้นจริงๆแล้วครับ
ที่ยกตัวอย่างเวียดนามมาทั้งหมด ผมอยากจะนำเอาเมียนมาวันนี้มาเปรียบเทียบเวียดนามครับ วันนี้เมียนมาเจอะเจอเจ้าวายร้าย COVID19 เหมือนกับทุกๆประเทศ แม้ว่าตัวเลขทุกวันที่ประกาศออกมาจะมีจำนวนที่ทำให้เรายังสงสัยอยู่ว่าจะจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเทียบกับจำนวนประชากร เทียบกับจำนวนผู้เข้ามาตรวจรักษา ก็สามารถพูดได้ว่ามีนัยยะน่าคิดทีเดียวครับ เรามาดูการพัฒนาด้านต่างๆของเมียนมา ที่ผมเคยนำมาเล่าให้ท่านอ่านติดต่อกันมาหลายปี อีกทั้งการพัฒนาด้านสังคมที่เขาดีกว่าเวียดนามเยอะมาก ถ้าไม่เอาปัญหาชนชาติพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็พูดได้เต็มปากว่าที่เมียนมา
โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ความปลอดภัยดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านมากๆ (ผมจะนำมาเล่าในโอกาสหน้า) ทิศทางการพัฒนาเมือง เขามีการจ้างวานประเทศสิงคโปร์มาวางแผนให้อย่างมีระบบ เขาจะมีเมืองใหม่ย่างกุ้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พูดถึงเมืองใหม่ เขาก็ดีกว่าเวียดนามมาก ตรงที่เขานำเอาเขตดาล่า ที่เป็นพื้นที่ว่างเปล่ามาพัฒนา ในขณะที่เวียดนามเขาพัฒนาเมือง เขาไม่มีทางเลือกจึงเอาเมืองเก่าเดิมๆมาพัฒนา เอาแค่การที่จะต้องเคลื่อนย้ายคนออก แล้วรื้อทิ้งอาคารบ้านช่องเก่ามาสร้างใหม่ แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วครับ แต่เมียนมาเขาใหม่จริงๆ จึงง่ายกว่าและดีกว่าครับ
การสร้างหรือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่เมียนมาไม่ได้น้อยหน้าเวียดนามเลยครับ ที่เมียนมาเด็กๆวัยรุ่นมีความกระตือรือร้นที่อยากจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเยอะมาก เขาดีกว่าเวียดนามในยุคนั้นมาก เพราะเขาไม่ติดเรื่องของการเดินทางออกนอกประเทศ เขามีโอกาสมากกว่าเวียดนามที่เป็นประเทศปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ในการออกไปศึกษาต่อต่างประเทศ เมียนมาจึงมีเสรีภาพมากกว่า สำหรับคนมีอันจะกิน เขาไปได้ทั้งประเทศยุโรปหลายประเทศ สหรัฐอเมริกา แคนนาดา สิงคโปร์
สำหรับคนมีเงินน้อย ก็สามารถมาประเทศไทย เกาหลีใต้ และเข้ามาในฐานะแรงงาน เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวเอาความรู้ไปพัฒนาประเทศได้ ส่วนการพัฒนาเทคโนโลยี เขาก็ดีกว่าเวียดนาม ตรงที่เขาเริ่มเข้ามาพัฒนาในยุค 5G แล้ว จึงทำให้ทุกอย่างมาเร็วมาก ดีกว่าเวียดนาม เพราะช่วงเวียดนามพัฒนาประเทศใหม่ๆ เพิ่งจะมี 2G เท่านั้น ความเร็วของการพัฒนาจึงสู้เมียนมาไม่ได้เลยครับ
ผมจึงกล้าฟันธงได้เลยว่า เมียนมาในอนาคต ไม่เกินสิบปีเขาจะไปไกลมากๆ มากกว่าที่เราคิดครับ ถ้าเราจะมัวแต่คิดว่าเขายังล้าหลังเราอีก 50-60 ปี ไม่ต้องกังวลมาก เราคิดผิดแล้วครับ ปัจจุบันนี้การพัฒนาเร็วมากๆ ในโลกนี้ไม่มีใครโง่กว่าใครหรอกครับ เราตามกันทันหมด ท่านทิ้ง Dictionary ไปดู Google ท่านทิ้งแผนที่ไปหา Google Map ท่านทิ้งหนังสือไปหาอินเตอร์เนท ท่านทิ้งกล้องถ่ายรูป ไปหาโทรศัพพ์มือถือได้ ท่านอย่าคิดว่าที่เมียนมาเขาจะทำไม่ได้เหมือนท่าน ทุกอย่างที่ท่านทำ ทุกอย่างที่ท่านคิด เขาทำได้หมดเหมือนเราทุกประการ แล้วอะไรละที่ท่านคิดว่าเขาไม่มี เราต้องคิดใหม่ว่า อะไรละที่เขามีแล้วเราไม่มีจะดีกว่า
ผมอยากจะยกตัวอย่างง่ายๆที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ท่านอย่าปฏิเสธนะครับ เขามีลูกหลานที่อยู่ในวัยกำลังหาความรู้เข้าตัว กำลังต้องกระตือรือร้นใฝ่หา แต่เรามีลูกหลานที่ไม่ต้องการหาความรู้ เล่นแต่เกมส์ หาแต่ความสนุกไปวันๆ เขายังมีลูกหลานที่ไม่รู้จักคำว่าพอ ต้องการความก้าวหน้า ความร่ำรวย แสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่เรามีลูกหลานที่พอแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนก็มีกินเพียงพอแล้ว มีพ่อ-แม่คอยป้อนทุกอย่างให้จนอิ่มพอแล้ว ไม่ต้องแสวงหาก็อยู่ได้แล้ว นี่คือความน่าเกรงขามของเมียนมาในอนาคตไงครับ