สวดมนต์...ได้อะไรกว่าที่คิด

31 มี.ค. 2564 | 21:20 น.

สวดมนต์...ได้อะไรกว่าที่คิด : คอลัมน์ ทำมา ธรรมะ โดย ราช รามัญ

ที่มีคำที่เขากล่าวว่า สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ดูเหมือนว่าคำนี้มันอาจจะฟังดูแล้ว การสวดมนต์ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเลยแต่ความเป็นจริงแล้วการสวดมนต์นั้นมีคุณค่าอย่างมาก

การสวดมนต์ เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งโดยอาศัยจากภาวะการกระทำภายนอกให้เข้าไปสู่ภายใน ลามะนักบวชทิเบต นิยมการฝึกสวดมนต์แบบนี้เพื่อเป็นการหล่อหลอมจิตใจให้รวมเป็นหนึ่ง

บทสวดมนต์มากมาย แม้ว่าจะเป็นการแต่งขึ้นใหม่ในยุคหลังๆ แม้แต่พระคาถาชินบัญชรยอดนิยมก็แต่งขึ้นหลังจากพุทธกาลแต่ความหมายนั้นเป็นมงคลยิ่งนัก

แต่วิธีการสวดมนต์ที่ทำให้ได้ผลจะสวดบทไหนก็ได้แต่ทว่า วิธีการคือ จะต้องสวดช้าๆ  จะทำให้ใจรวมเป็นหนึ่งได้ง่ายและอานิสงส์ของการสวดนั้นจะได้ผลตามความหมายของบทสวดนั้นๆ อย่างยิ่ง ถ้าสวดแบบเร็วๆ แบบนกแก้วนกขุนทอง ก็จะทำให้สมองเกิดการ รับรู้ท่องจำได้รวดเร็วเท่านั้น แต่อาจจะไม่เชื่อมโยงไปถึงจิตใจ การสร้างสมาธิก็อาจจะไม่สมบูรณ์

เราทุกคนปรารถนาให้ชีวิตของเรามีความสุข ปรารถนา ความราบรื่นในชีวิตประจำวันเพื่อทำมาหากินง่ายทำมาหากินคล่อง เราไม่ได้ปรารถนาที่จะหลุดพ้น ดังนั้นการใช้ธรรมะ วิธีการ ในเชิงปฏิบัติ ก็ควรจะต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับเรา

การสวดมนต์ ช้าๆ จึงเป็นการปฏิบัติที่เหมาะสมกับเราในช่วงเวลา 10 นาที ถึง 30 นาที ในชีวิตประจำวัน และในวันหนึ่งๆ เราสละเวลาของเรา เพียงเท่านี้ เพื่อบำรุงจิตใจ ก็นับได้ว่าเราได้สร้างบุญกุศลทุกวันแล้ว

บุญกุศล ที่มีอานิสงส์ มากมาย ต้องเริ่มต้นที่จิตใจของเราสงบ มีความสุข บุญนั้นจึงเป็นบุญแท้ หาใช่เพียงแค่ กริยาทางวัตถุเพียงอย่างเดียวอย่างที่เราเข้าใจกัน แล้วก็มุ่งเน้นไปทำบุญด้วยการถวายทานต่อนักบวช พระภิกษุสงฆ์ ไม่เคยทำใจ ให้สงบ

 

หลวงพ่อชา สุภัทโท อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง เคยกล่าวเอาไว้ว่า โจรก็ทำบุญได้

เป็นความหมายที่ลึกซึ้งอย่างมาก นั่นหมายความว่าคนทุกคนสามารถทำบุญกิริยาวัตถุได้ แม้จะเป็นคนที่ไม่ดีแต่การทำใจให้สงบทำใจให้เป็นสมาธิทำใจให้มีความสุขโดยทำคนที่เป็นโจรไม่สามารถทำได้ อย่างนั้นสิ่งนี้จึงมีคุณค่ามากกว่าแค่การถวายทาน 

ความสุขทั้งหลาย องค์พระสัมมาจึงตรัสสอนว่า เริ่มต้นที่ใจเรา การสวดมนต์ที่ทำให้ใจเราสงบนั้นก็เป็นบุญอย่างหนึ่งเช่นกัน