>> ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาเหรียญดิจิทัล (Cryptocurrency) ร่วงลงอย่างรุนแรงทั้งกระดาน โดยมีต้นเหตุจากโพสต์ข้อความเพียงไม่กี่ครั้งของ นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่เป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นก็มีสารพัดข่าวที่สร้างแรงกดดันให้ราคาเหรียญดิจิทัลเหล่านี้มีอันต้องร่วงลงเฉลี่ย -30% เกือบทั้งตลาด
มีคำโต้แย้งว่า เพียงแค่นี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะราคาของ Bitcoin เคยผ่านประสบการณ์ที่ราคาร่วงลงจาก 19,000 ลงไปที่ 3,000 เหรียญ หรือคิดเป็น 85% มาแล้วในปี 2017 ซึ่งราคา Bitcoin ปรับร่วงลงมา 30% จากราคา 64,778 เหรียญ ช่วงกลางเดือนเม.ย. ลงไปจุดตํ่าสุดที่ 30,000 เหรียญในเดือนนี้ ยังไม่มีอะไรให้ต้องตกใจ
เจ๊เมาธ์ คงยืนยันว่า การลงทุนเป็นเรื่องส่วนบุคคล...ใครจะชอบแบบไหนก็ทำไป เพราะเงินที่อยู่ในตลาดมันก็วนเวียนไปมา กำไรหรือขาดทุนเป็นเพียงแค่การโยกจากคนที่ตามเกมไม่ทัน..ไหลไปหาคนที่จับจังหวะได้ดีกว่าก็เท่านั้นเอง ...ขอแค่เพียงศึกษาให้เข้าใจ ก็เอาตัวรอดได้พอสมควร แต่ถ้าหากตามกระแสอย่างเดียว..โอกาสที่เงินของท่านจะถูกดูดออกไปอยู่กับคนอื่น ก็มีอยู่สูงมากเช่นกันเจ้าค่ะ
>> จะมีชื่อไหนที่ขายดี และทรงอิทธิพล เท่ากับชื่อของ “เสี่ยกลาง-สารัชถ์ รัตนาวะดี @ กัลฟ์ฯ” และยืนยันมาแล้วว่า กัลฟ์ฯ หรือ GULF ได้เข้าเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน KEX แตะระดับ 48.72 ล้านหุ้น หรือ 2.80% ทำให้ GULF กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของ KEX ไปเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าการถือหุ้นเพียงแค่ 2.8% จะไม่มีผลต่อทิศทางการบริหารงานและการดำเนินธุรกิจ แต่การเข้ามาถือหุ้นของ GULF ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ “เสี่ยกลาง-สารัชถ์” มันก็ได้จุดประกาย...ทำให้ความเชื่อมั่นที่หายไปของนักลงทุน ได้กลับมาจนราคาหุ้นของ KEX ปรับขึ้นมายืนเหนือ 40 บาท ได้อีกครั้ง
สำหรับเจ๊เมาธ์...เจ๊ยังมองว่า การเข้ามาถือหุ้นของ GULF มันก็ไม่ได้รับประกันว่า ราคาหุ้นของ KEX จะไปต่อได้อีกไกลหรือไม่ เพราะตอนนี้ในส่วนของ GULF เองก็ยังนิ่งจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรที่เป็นสาระสำคัญออกมาและเจ๊เมาธ์ อยากจะบอกว่า...ถ้าใครชอบ KEX ควรต้องแบ่งไม้เล่น และยังต้องแบ่งเป็นหลายๆ ไม้ รวมถึงอาจจะต้องถือยาวไปพอสมควรด้วยเจ้าค่ะ
>> ชื่อ “เสี่ยกลาง&กัลฟ์” ทรงอิทธิพลแค่ไหน เจ๊เมาธ์ ไม่ต้องบรรยายมากค่ะ แต่ต้องยอมรับว่า ขอแค่มีชื่อ “สารัชถ์ & กัลฟ์” พอ หุ้นวิ่งเป็นม้าแล้ว ส่วนจะจริง หรือไม่จริง เป็นอีกเรื่องที่ต้องรอฟังจากปาก หรือการแจ้งตลาดนั่นเอง ...เหมือนกรณีของ BWG หรือ 7UP เสียงดังฟังชัดค่ะว่า “เสี่ยกลาง-กัลฟ์” ไม่ก็ไม่ ส่วนจะใช่ เป็นเรื่องในอนาคตที่ต้องตามดูกันยาว ๆ ค่ะ
>> เจ๊เมาธ์ รู้สึกว่าราคาหุ้นของ BEC ดูแปลก ๆ ชอบกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/64 พบว่ามีกำไรสุทธิ 138.82 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 275.163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150.5% ในขณะที่การกลับมาของ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ยังไม่สามารถทำให้ราคาหุ้นของ BEC หลุดออกจากหล่มของราคาหุ้นที่ 10 บาท กว่า ๆ ได้ แม้ราคาหุ้นจะขยับขึ้นมาจากราคา 5 บาทถึง 10 บาทกว่าๆ ในวันนี้
>> สำนักวิเคราะห์ใหญ่อย่าง บล.บัวหลวง ได้ออกมาแนะนำให้ขาย OR ที่ราคาเป้าหมาย 25 บาท/หุ้น กลายเป็นแรงกดดัน ทำให้ราคาหุ้น OR ลงไปยืนตํ่ากว่า 30 บาท เพราะ ไตรมาสที่ 1/64 กำไรสุทธิ 4,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,079 ล้านบาท หรือ 36.9% จากไตรมาสก่อน แต่ทาง บล.บัวหลวง ให้เหตุผลว่า ดีล M&A ทั้งหลายของ OR จะสร้างกำไรส่วนเพิ่มได้เพียงเล็กน้อย ในระยะสั้นยังต้องพึ่งพาธุรกิจนํ้ามันและธุรกิจที่ไม่ใช่นํ้ามันในปัจจุบัน ซึ่งจะยังอ่อนแอใน 2/64 จนถึง 3/64
เจ๊เมาธ์...เห็นว่า OR มีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว และหุ้นแบบนี้เหมาะสมที่จะถือกันแบบยาวๆ อย่างจริงจัง ดังนั้น ราคาของ OR ร่วงลงมาแบบนี้ เป็นโอกาสที่น่าจะเก็บเพื่อสะสม
อย่าลืมว่าถึงแม้ บล.บัวหลวงจะให้เป้าเอาไว้แค่เพียง 25 บาท แต่ยังมี บล.เคจีไอ ที่ให้ราคา 30 บาท บล.ฟินันเซีย ให้ราคาเอาไว้ 41 บาท ด้วยนะคะ
>> ผลการดำเนินงานของ ASIAN ในไตรมาสที่ 1/64 มีกำไรสุทธิ 215 ลบ. เพิ่มขึ้น 110 ลบ. เติบโต 105% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 16.9% ในขณะที่หุ้นปันผลจำนวน 271.36 ล้านหน่วยที่เข้าตลาดในวันที่ 20 พ.ค. ก็ไม่ทำให้เกิด Dilution Effect มากแบบที่นักลงทุนหลายคนกลัวกัน ซึ่งถ้าหากจะมองกันยาวๆ เจ๊เมาธ์ยังเห็นว่า ASIAN มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะไต่อได้อีกไกล เพราะนอกจากหุ้นปันผลที่เข้ามาช่วยสร้างสภาพคล่องให้เพิ่มมากขึ้นแล้วยังมีเรื่องของแนวโน้นทางธุรกิจที่โดดเด่นมากในปี 64 ทั้งปีเป็นตัวเสริมอีกด้วยค่ะ