เรากำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์”เชื่อมไทย เชื่อมลาว เชื่อมโลก”และการวางหมุดหมายใหม่ที่เรียกว่า”อีสาน เกตเวย์”และ”ระเบียงเศรษฐกิจอีสาน”ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโดยกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ที่พรรคประชาธิปัตย์ดูแล
ยุทธศาสตร์นี้เป็นคานงัดที่จะเปลี่ยนอนาคตของอีสานและประเทศของเรา
ผมจึงขอเล่าเรื่อง สปป.ลาว บ้านพี่เมืองน้องของไทยที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเป็นคำตอบว่า ทำไมไทยกับลาว ต้องผูกอนาคตไว้ด้วยกัน
ล่าสุด ลาวเพิ่งเปิดเส้นทางรถไฟลาว-จีนเมื่อ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 5 ปี โดยอยู่ระหว่างการทดสอบรถไฟโดยสารและรถขนส่งสินค้าจากหลายมณฑลของจีนมาเวียงจันทน์ และคาดว่าจะมีขบวนรถไฟจากยุโรปด้วย
หลังจากผ่านการทดสอบและระบบตรวจตราผ่านแดนเสร็จเรียบร้อย เส้นทางรถไฟสายนี้จะเปิดบริการได้อย่างสมบูรณ์ภายในครึ่งแรกของปีหน้า
ทำให้หนองคายกลาย เป็นเกตเวย์ที่มีศักยภาพใหม่ของประเทศ เชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมจีน เชื่อมเอเชียกลางเชื่อมยุโรป
ความจริง ลาว กำลังพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายโครงการ ตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุด โดยทุกโครงการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ เช่น จีน ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และ เกาหลี เป็นต้น
ลาวต้องการเปลี่ยนข้อจำกัดเดิมจากประเทศไม่มีทางออกทะเล อยู่ในมุมอับ(Land Locked) เป็นประเทศแห่งความเชื่อมโยง(Land of Connectivity)
อีกโครงการที่สำคัญมากสำหรับอนาคตลาว และรวมถึงอนาคตของประเทศไทย คือ โครงการท่าเรือน้ำลึกหวุงอ๋าง
ลาวเร่งพัฒนาเส้นทางเชื่อมเวียงจันทน์ แขวงบอลิคำไซกับแขวงคำม่วน(ตรงข้ามจังหวัดนครพนม)ไปยังจังหวัดฮาติงห์ของเวียดนาม
โครงการนี้สำคัญมากๆ เป็นช่องทางสู่โลกกว้างแห่งโอกาสที่สั้นที่สุด
เหนืออื่นใดคือ เป็นท่าเรือน้ำลึกในแผ่นดินเวียดนามที่เสมือนลาวเป็นเจ้าของ
บริษัทรัฐวิสาหกิจพัฒนาท่าเรือหวุงอ๋าง ลาว-เวียดนาม (ลาว ถือหุ้น 60% เวียนาม40%) ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2573 ท่าเรือน้ำลึกหวุงอ๋าง จะสามารถให้บริการแก่เรือสินค้าที่มีน้ำหนักบรรทุกตั้งแต่ 5,000 ตัน ถึง 100,000 ตัน เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ตั้งแต่ขนาดบรรทุก 50,000 ตู้ ถึง 1,200,000 ตู้ และเรือบรรทุกสินค้าเทกอง ตั้งแต่ขนาดบรรทุก 3 ล้านตัน ถึง 20 ล้านตัน
ทั้งนี้จะเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2566 หรือภายใน 2 ปีข้างหน้า
นครพนมจะเป็นเกตเวย์ใหม่ออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกโดยใช้บริการท่าเรือน้ำลึกหวุงอ๋างด้วยระยะทางไม่ถึง 300 กิโลเมตร
ท่าเรือดังกล่าวเมื่อพัฒนาเต็มรูปแบบจะสามารถขนส่งสินค้าจากไทย ลาวและเวียดนามไปอเมริกา แคนาดา ลาตินอเมริกา จีน ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน รัสเซียและยุโรปเหนือ โดยไม่ต้องผ่านสิงคโปร์
ลาวไม่ได้พัฒนาระบบคมนาคมเท่านั้นแต่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษควบคู่ไปด้วย เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในแขวงบ่อแก้วทางภาคเหนือใกล้กับฝั่งเชียงรายของเรา หรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษมหานทีสีทันดอนในแขวงจำปาสักตรงข้ามจังหวัดอุบลราชธานีขนาดของวงเงินลงทุน
เขตเศรษฐกิจใหม่สีทันดอนตั้งเป้าใช้เงินลงทุน 9,000ล้านดอลลาร์และใช้พื้นที่ 6 หมื่นไร่มากกว่าโครงการทางรถไฟลาว-จีน ที่ลงทุน 6,800 ล้านดอลลาร์ ใช้พื้นที่ 19,112ไร่
ยังไม่รวมเขตเศรษฐกิจพิเศษ-ลาว-เวียดนาม-กัมพูชา และเขตเศรษฐกิจพิเศษเวียงจันทน์
แม้จะเผชิญกับผลกระทบโควิด19มีอุปสรรคนานัปการอาจช้าลงบ้าง แต่ลาวไม่ท้อไม่ถอยครับ ยังเดินหน้าสานฝันต่อไม่ยอมหยุด ตามไล่เป้าหมายของประเทศอย่างมุ่งมั่น
ประเทศไทยของเราต้องจับมือกับลาวอย่างใกล้ชิด เสมือนหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์พึ่งพาร่วมแรงร่วมใจแบบพี่น้องเครือญาติ เคารพและให้เกียรติกันและกัน
ลาวและไทย สามารถผนึกศักยภาพของ 2 ประเทศเข้าด้วยกัน
นี่คือคำตอบของยุทธศาสตร์ใหม่และการสร้างจุดเปลี่ยนประเทศด้วย ”อีสาน เกตเวย์”และ”ระเบียงเศรษฐกิจอีสาน”ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรม
อีสาน 20 จังหวัดและประชากร22ล้านคนอยู่ในมุมอับเป็นดินแดนไม่มีทางออกทะเลเหมือนลาวในอดีต ทำให้โอกาสของอีสานอับไปด้วย จึงต้องวางวิสัยทัศน์และเส้นทางการพัฒนาใหม่สำหรับอีสานและประเทศไทย
ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด 19 เราเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับ 11ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชียรองจากจีนแสดงถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะครัวโลก
เส้นทางใหม่ๆ คือโอกาสในการขนส่งสินค้าเพื่อเพิ่มการส่งออกสร้างรายได้ให้ประเทศ พร้อมกับพัฒนาฐานการแปรรูปสร้างเกษตรมูลค่าสูง กระจายไปทุกภูมิภาคด้วยการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์และระเบียงเศรษฐกิจกับเพื่อนบ้านของเรา
สุดท้ายคือ การบริหารการพัฒนาด้วยโมเดลใหม่ๆ ให้ฉับไวรวดเร็วครับ
เกี่ยวกับผู้เขียน: นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการะทรวงพาณิชย์ อดีตส.ส. 6 สมัย อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ