พลโท ดร.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ ได้ประมวลและนำเสนอแนวโน้มความเคลื่อนไหวของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) และกองทัพสหรัฐ ในทะเลจีนใต้ที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น จนอาจจะนำไปสู่สนามรบใหม่จากการต่อสู้ใต้น้ำ หรือ "สงครามลับใต้น้ำ" ในทะเลจีนใต้ กล่าวคือ
ประเด็นแรก “สงครามมืด" ระหว่างจีนและสหรัฐ ได้เริ่มต้นขึ้นจากการที่ยานใต้น้ำไร้คนขับของสหรัฐ ซึ่งถูกกองทัพเรือจีนจับและยึดได้ในทะเลจีนใต้ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2559 โดยต่อมาได้รับการยืนยันว่า เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับของสหรัฐ ที่ประจำการในทะเลจีนใต้
นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2563 ทั้งเครื่องบินทหารของจีนและเครื่องบินทหารของสหรัฐ ได้ปรากฏตัวในทะเลจีนใต้บ่อยครั้ง
โดย PLA มักจะส่งเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ Y-8 เพื่อค้นหาเรือดำน้ำของกองทัพสหรัฐ
ในเวลาเดียวกัน เครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ P-8 และ P-3C ของกองทัพสหรัฐ ก็ปรากฏตัวขึ้นบ่อยครั้งในน่านน้ำ ซึ่งทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินการค้นหาเรือดำน้ำ
อันบ่งชี้ได้ว่า เรือดำน้ำจำนวนมากได้ถูกส่งไปประจำการอย่างเงียบๆ ในทะเลจีนใต้ และการเผชิญหน้าก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก
เรือดำน้ำมักถูกเรียกว่า "นักฆ่าใต้ทะเล" เนื่องจากการซ่อนตัวที่ก้นทะเลนั้น หายากมาก
ประกอบกับการพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพรางตัว และเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรือดำน้ำสามารถซ่อนอยู่ใต้ท้องทะเลได้นาน ทำให้การตามรอยเรือดำน้ำยากขึ้น จะพบเมื่อมีการใช้อาวุธโจมตีแล้ว จึงเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล
ประเด็นที่สอง เกมระหว่างจีนและสหรัฐ ได้รับการยกระดับอีกครั้งจากปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน อาทิ หลังจากการระบาดของวิกฤตการเงินโลกครั้งใหม่ในปี พ.ศ.2551 ทำให้ช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐ กำลังหดตัวลงอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี หรือ พลังแข็งและอ่อนของชาติ รวมถึงข้อริเริ่ม "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" (BRI) และ "ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย" (AIIB) ในด้านเศรษฐกิจและการค้าหรือการพัฒนาของจีน
โดยเฉพาะในด้านการทหาร จากการที่จีนพัฒนาการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางขั้นสูง และขีปนาวุธร่อนจำนวนมาก พร้อมอาวุธขั้นสูง และการโจมตีรูปแบบใหม่
รวมทั้ง เรือดำน้ำ และเครื่องบินขับไล่ได้ยกระดับสูงขึ้น ตลอดจนอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในระเบียบเศรษฐกิจโลก และความมั่นคงระหว่างประเทศ ได้กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ก็มีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมเกมระหว่างจีนและสหรัฐ ในทะเลจีนใต้ จากปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
ประเด็นที่สาม จุดแข็งที่แท้จริงของสงครามใต้น้ำจีน-สหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นในด้านเทคโนโลยี คุณภาพ ปริมาณ หรือ ความสามารถในการโจมตี ถือเป็นระดับสูงสุดของโลก ที่ไม่มีประเทศใดเทียบได้
ปัจจุบัน จีนมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 18 ลำที่ประจำการอยู่
รวมถึงเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์ Type 094A จำนวน 4 ลำ เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ Type 094 จำนวน 2 ลำ และเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดขีปนาวุธนำวิถีเชิงยุทธศาสตร์ Type 092 จำนวน 1 ลำ
ดังนั้น ในการเผชิญกับเกมจีน-สหรัฐ ที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กองทัพเรือจีนยังคงต้องพัฒนาและเติบโตในอนาคต แม้ว่าจีนจะยังมีหนทางอีกยาวไกลในการจำกัดช่องว่างอำนาจกับสหรัฐ (สหรัฐ มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 68 ลำ) โดยเฉพาะในเกมใหม่ที่ต้องใช้การปฏิบัติการใต้น้ำก็ตาม
การวางกำลังทหารใต้น้ำ หรือ "สงครามลับใต้น้ำ" ในทะเลจีนใต้ยังคงดำเนินต่อไปนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 ที่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้ประกาศว่าในไม่ช้าสหรัฐ จะสามารถปรับใช้ยานใต้น้ำไร้คนขับประเภทต่างๆ มากขึ้น
ในขณะที่จีนมีขีดความสามารถในการใช้ขีปนาวุธ Julang-2 ที่ติดตั้งในเรือดำน้ำขีปนาวุธขับเคลื่อนด้วยนิวเคลียร์ของจีน ซึ่งมีระยะยิง 7,200 กิโลเมตร ทำให้สามารถโจมตีมลรัฐอลาสก้า และ ฮาวาย จากทะเลจีนใต้ รวมทั้ง 50 มลรัฐในสหรัฐ ได้ทั้งหมด
(ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.163.com/dy/article/GBD7SRKG0543KAAC.html )