กลุ่มเอ็มบีเค มีพอร์ตธุรกิจในมือหลากหลายมากถึง 8 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ ซึ่งรู้จักกันดีในนามศูนย์การค้ามาบุญครอง ธุรกิจข้าวถุง ธุรกิจลีสซิ่ง เป็นต้น และ 1 ในนั้น คือ ธุรกิจโรงแรม ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของอยู่ 5 แห่ง ได้แก่ ลยานะ รีสอร์ท แอนด์ สปา กระบี่, ดุสิตธานี กระบี่ บีช รีสอร์ท, โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส, ทินิดี โฮเต็ล แอท ระนอง และทินิดี กอล์ฟ รีสอร์ท แอท ภูเก็ต สร้างรายได้ให้เอ็มบีเค กรุ๊ป อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท เฉลี่ยรายได้เติบโตไม่ตํ่ากว่า 8% ต่อปี ทั้งยังเดินหน้าขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จและเป้าหมายของธุรกิจโรงแรม “อาทร วนาสันตกุล” กรรมการ ผู้จัดการบริษัท เอ็มบีเค โฮเต็ล แอนด์ ทัวร์ริซึ่ม จำกัด เปิดใจถึงหลักยึดในการทำธุรกิจโรงแรมของเอ็มบีเค ว่า “เราจะมุ่งทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน” ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ เราต้องหาลักษณะของเราให้เจอ หาว่าเรามีจุดเด่นอะไร ต้องสร้างเอกลักษณ์เราเอง และเดินไปตามนั้น ไม่ต้องไปตามใคร
การทำธุรกิจของเรา จะให้ความสำคัญและดูแลผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เริ่มจาก “ในองค์กร” ที่ต้องสร้างวัฒนธรรมที่ดีในองค์กร มีธรรมาภิบาล มีคุณธรรม ถ้าองค์กรเราดี คนรอบข้างเห็นก็เชื่อถือองค์กรเรา รวมถึงพนักงาน ก็ต้องรักษาไว้ให้ดี เพราะวันใดที่เขาหายไป นั่นหมายถึงเกิดความสูญเสีย ต้นทุนก็เกิดขึ้นมา จากการที่ต้องมานั่งเทรนคนใหม่ ดังนั้น “เราต้องสร้างให้เขารู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ เพื่อให้เขาอยู่กับเรา บริการลูกค้าด้วยใจ และการสร้างแบรนด์ดีเอ็นเอในการพัฒนาบุคลากร” ซึ่งก็จะทำให้เรามีบุคลากรใหม่เพื่อมารองรับการขยายธุรกิจ ขณะเดียวกันก็จะมีพนักงานเดิมที่อยู่กับเรามายาวนาน กว่า 20 ปีอยู่หลายคน
หัวใจของธุรกิจบริการ “พนักงานจะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าจะไปต่อกับเราไหม” ถ้าลูกค้าได้รับบริการด้วยใจ การดูแลที่ดี ไม่มีคอมเพลน แน่นอนเขาก็จะกลับมาใช้บริการ ขณะเดียวกัน “ลูกค้าก็จะกลายมาเป็นคนขายให้เราอีกทาง เพราะอยากบอกต่อ บอกเพื่อน บอกคนรู้จัก หรือแนะนำให้เอเยนต์เลือกใช้โรงแรมเรา”
ขณะเดียวกันการบริหารงานในองค์กร ก็ต้องทำให้เป็นระบบ เน้นพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้เป็นอัตโนมัติ Automate เป็น Paperless รวมฐานข้อมูลต่างๆของทุกโรงแรม ลิงก์ให้เป็นศูนย์กลางหรือส่วนกลางทั้งหมด เพื่อให้ตอบสนองลูกค้าได้ทันต่อเหตุการณ์ คนในองค์กรใครไปใครมา ข้อมูลต่างๆ ก็ยังอยู่ ไม่ใช่พอเขาออกไป ลูกค้าก็ตามพนักงานเราไปด้วย ซึ่งด้วยความที่เราทำธุรกิจโรงแรมมานาน ไม่ใช่เปิดใหม่ ลูกค้ายอมรับ ประสบการณ์ที่มีมานาน รู้ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
รวมถึงเน้น “การสร้างพันธมิตร” ให้ครอบคลุมและเข้มแข็ง โดยโฮลเซลก็ต้องรักษาไว้ เช่นเดียวกับการหาพันธมิตรใหม่ๆ อย่าง ออนไลน์ทราเวล เอเยนต์ หรือพันธมิตรอื่นๆ ซึ่งเราต้องสร้างพันธมิตรต่อไปเรื่อยๆ จากสิ่งทำมา ทำให้ที่ผ่านมาผลประกอบการในทุกโรงแรมของเรา ถือว่าขยายตัวเป็นอย่างดี เติบโตปีละไม่ตํ่ากว่า 8% ขณะเดียวกัน“การจะดำเนินธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน เราต้องให้ความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วย”
เรามีโรงแรมที่เมืองไหน ก็จะสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ เช่น มีโครงการสนับสนุนโรงเรียนและชุมชนใกล้โรงแรม ไม่ใช่เอาเงินไปให้แล้วจบ แต่เน้นเข้าไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้ อย่าง เราไปปลูกต้นไม้ ปลูกมะพร้าวนํ้าหอม ถ้าโตก็ให้เขามาขายให้เรา หรือเราเป็นคนไปปลูกผักออร์แกนิกให้โรงเรียนในชุมชน ซึ่งชุมชนก็ยอมรับ เราเข้าไปช่วยเหลือดูแลสังคม เขาก็จะเข้าใจ และดูแลเราและลูกค้าของเรา มันก็เป็นวงจรที่ดี
ส่วนการขยายการลงทุนใหม่ แม้กลุ่มเอ็มบีเค จะมีเงิน แต่การลงทุนของเราก็ค่อนข้าง Conservative คือ “ช้าแต่ชัวร์” ต้องไม่ทำให้ผู้ถือหุ้น หรือคนที่เกี่ยวข้องผิดหวัง เมื่อมั่นใจแล้วถึงลงทุน และลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งในช่วง 2 ปีนี้ เอ็มบีเค ใช้งบกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนใน 3 พื้นที่ คือ การสร้างห้องพักแบบพูล วิลล่า 40 หลัง “ดุสิตธานี วิลล่า” บนพื้นที่ว่างเปล่าราว 20-25 ไร่ในโรงแรมดุสิตธานี กระบี่ คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2562 รวมถึงสร้าง 2 โรงแรมใหม่ คือ “ทินิดี โฮเต็ล แอท บางกอก กอล์ฟ” ที่จ. ปทุมธานี คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าและการสร้างบังกะโล 15 หลัง และห้องพักแบบโฮสเทล 30 เตียง บางห้องจะมี 8 เตียง บางห้องมี 4 เตียง มีพื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน บนหาดต้นไทร จ.กระบี่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีหน้า
ทั้งนี้การพัฒนาโรงแรมของเอ็มบีเค จะมองถึงการพัฒนาที่จะสร้างจุดขายในแต่ละโรงแรม ให้ตอบสนองกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน และสอดคล้องกับรูปแบบการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เพื่อให้เราตอบสนองการให้บริการลูกค้าได้ในทุกกลุ่ม เช่น ทินิดี โฮเต็ล แอท ระนอง นอกจากดึงจุดเด่นเรื่องนํ้าแร่ในโรงแรม เจาะกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและขณะนี้ก็มองไปถึงการเชื่อมโยงการขายกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่นมาพักที่โรงแรม แล้วเดินทางไปดำนํ้าที่เกาะนาวโอพี หรือเที่ยวหัวใจมรกต ของเมียนมา ซึ่งกำลังเป็นแหล่งดำนํ้ายอดนิยมที่ยังคงความสวยงามมาก ก็ทำให้ทางโรงแรมดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชอบดำนํ้าได้อีกตลาดหนึ่งด้วย
แม้แต่การลงทุนที่พักแบบโฮสเทล ที่กระบี่ ก็เป็นการตอบสนองเทรนด์ที่พักแบบใหม่ที่วัยรุ่นชอบและมาแรง เพราะคนยุคใหม่ชอบเที่ยวแบบอิสระ ไปคนเดียวไปเจอเพื่อนใหม่ๆประสบการณ์ ใหม่ๆ ขณะที่กลุ่มตลาดผู้สูงอายุที่มีการเติบโตสูง ก็เป็นโอกาส ทำให้การลงทุนสร้างห้องพักแบบพูล วิลล่า ที่โรงแรมดุสิตธานี กระบี่ ก็จะมีการดีไซน์สำหรับรองรับผู้สูงอายุเช่นกัน
ไม่เพียงการขยายการลงทุนสร้างโรงแรมใหม่เท่านั้น เรายังมองถึงการรับจ้างบริหารจัดการโรงแรมภายใต้แบรนด์ทินิดี (3 ดาวครึ่ง) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เอ็มบีเค พัฒนาขึ้น รวมถึงการสร้างแบรนด์ใหม่ระดับ 4 ดาว ทั้งยังมีแผนจะขยายการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อย่าง ฟิตเนส,สปา,ร้านอาหารเกาหลี ซึ่งบริการเหล่านี้ที่ให้อยู่ภายในโรงแรมต่างๆของเอ็มบีเค ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีและได้รับรางวัลมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น ดิโอลิมปิค คลับ ฟิตเนส และห้องอาหารคองจู ของโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส และลยานะ สปา ที่ลยานะ รีสอร์ท แอนด์ สปา กระบี่ ทำให้มองว่าสามารถนำมาต่อยอดในการขยายสาขาออกไปบริการนอกโรงแรม หรือแม้แต่การรับจ้างบริหารในธุรกิจเกี่ยวเนื่องเหล่านี้ ซึ่งก็เป็นการต่อยอดในการสร้างรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั่นเอง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,324 วันที่ 21 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560