ธุรกิจผลิตคอนเทนต์-สื่อนิตยสารปรับตัว! เล็งเป้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังระดมทุนต่อยอดธุรกิจ เสริมแกร่งในสถานการณ์เม็ดเงินโฆษณาหดตัว ... ‘เซ้นส์’ คาด 3 ปี เข้าเทรด ด้าน ‘จีเอ็ม กรุ๊ป’ เล็งยกบริษัทเป็นโฮลดิ้งคัมปะนี ก่อนระดมทุน
ในภาวะที่เม็ดเงินโฆษณาหดตัวอย่างต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา เฉพาะช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เม็ดเงินการใช้สื่อโฆษณาก็หดตัวลงถึง 7.1% หรือมีมูลค่าลดลง 1,170 ล้านบาท นอกจากนี้ หลายปีที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดิจิตอล ที่เกิดสื่อโซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสื่อหลัก อาทิ สื่อทีวี วิทยุ และกลุ่มสิ่งพิมพ์ เพราะผู้บริโภคมีช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและคอนเทนต์สาระบันเทิงได้ง่าย และทุกที่ทุกเวลา ทำให้เจ้าของแบรนด์สินค้าเปลี่ยนแปลงการใช้เม็ดเงินให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคปัจจุบัน
สำหรับผู้ผลิตสื่อ หรือ ผู้ผลิตคอนเทนต์ ที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าผลกระทบโดยตรง หรือ ทางอ้อม ต่างก็ต้องหากลยุทธ์เข้ามาปรับตัว เพื่อความอยู่รอดจากภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ คือ เงินทุน ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจให้อยู่ไปได้อย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากปัจจัยความสำเร็จอื่น ๆ ซึ่งแนวทางการได้มาของเงินทุนที่ผู้ประกอบการมองเป็นเป้าหมายสำคัญ คือ การเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
[caption id="attachment_291612" align="aligncenter" width="277"]
วราวุธ เจนธนากุล
ประธานกรรมการ บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด[/caption]
นายวราวุธ เจนธนากุล ประธานกรรมการ บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ได้วางแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนมาต่อยอดธุรกิจด้านการผลิตรายการ การซื้อลิขสิทธิ์รายการจากต่างประเทศ รวมถึงการขยายธุรกิจในด้านต่าง ๆ อาทิ การสร้างสตูดิโอบนเนื้อที่ 20 ไร่ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนงาน ซึ่งคาดว่า ภายใน 3 ปีนับจากนี้ น่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรด้านการเงินและผู้ผลิตคอนเทนต์เพื่อร่วมทุนกันดำเนินธุรกิจด้วย เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า ที่คาดว่าจะทำได้ 1,000 ล้านบาท จากเป้าหมายในปีนี้คาดว่าจะทำได้ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทำรายได้ 500 ล้านบาท ซึ่งทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2561 บริษัทได้เตรียมเงินลงทุนรวม 700 ล้านบาท เพื่อผลิตรายการใหม่ การผลิตรายการเดิมต่อเนื่อง และการซื้อลิขสิทธิ์รายการใหม่เข้ามาที่ปีนี้จะมีรายการที่ออกอากาศ 15 รายการ เป็นรายการใหม่ 6 รายการ และมีกว่า 5 รายการ ที่เป็นรายการประเภทซีซันนัลโปรแกรม
[caption id="attachment_291614" align="aligncenter" width="503"]
ปกรณ์ พงศ์วราภา
ประธานกรรมการ จีเอ็ม กรุ๊ป[/caption]
ด้าน นายปกรณ์ พงศ์วราภา ประธานกรรมการ จีเอ็ม กรุ๊ป กล่าวว่า มีแผนที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมกับปรับเปลี่ยนให้ จีเอ็ม กรุ๊ป เป็นบริษัทโฮลดิ้ง และจะมีการจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาบริหารธุรกิจในแต่ละกลุ่ม หลังจากที่ได้แตกธุรกิจย่อยออกมาเป็น 8 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจนิตยสาร 2.ธุรกิจออนไลน์ 3.ธุรกิจทีวี 4.ธุรกิจอีเวนต์ 5.ธุรกิจภาพยนตร์ 6.ธุรกิจเอ็กซิบิชัน 7.ธุรกิจนิวมีเดีย และ 8.ธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ และล่าสุด ได้จดทะเบียนจัดตั้ง 2 บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท จีเอ็ม เฮลท์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจสินค้าสุขภาพ และบริษัท จีเอ็ม อินเตอร์ฟูดส์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจอาหาร
"ตอนนี้จะมีบริษัทมีเดียอย่างเดียวไม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของรายได้ ซึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน บริษัทมีรายได้ 280 ล้านบาท เป็นสัดส่วนธุรกิจนิตยสารถึง 70% แต่ปัจจุบัน ลดลงเหลือประมาณ 40-50% คาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า จะเหลือเพียง 10-15% ซึ่งหากรวมกับธุรกิจด้านสื่ออื่น ๆ อาทิ สื่อทีวี ภาพยนตร์ที่กำลังจะสร้าง ธุรกิจอีเวนต์ คาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 50% ส่วนอีก 50% รายได้จะมาจากธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ เพราะบริษัทมองโอกาสทางการตลาด และการขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงเป็นการต่อยอดจากการทำธุรกิจนิตยสารที่มีคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว"
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีเป้าหมายสำคัญ คือ การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุน และสร้างโอกาสทางธุรกิจ แม้ว่าจะยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้ก็ตาม เพราะต้องดูความพร้อมของธุรกิจต่าง ๆ ที่ได้เริ่มเข้าไปทำ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงวางเป้าหมายว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า จะสร้างยอดขายให้ได้ 500 ล้านบาท น่าจะทำยอดขายได้ 280 ล้านบาท เท่ากับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากปี 2560 มียอดขายประมาณ 220 ล้านบาท
……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,354 วันที่ 5-7 เม.ย. 2561 หน้า 34
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
GroupMเผยโฆษณาสื่อดิจิตอลทั่วโลกเฟื่องขยายตัว14.4%
●
MI ผงาดประกาศติด TOP 3 เอเจนซี่กวาดดูแลงบโฆษณาทั้งตลาดกว่า 6,000 ล้านบาท