จี้จ่าย "เยียวยาเกษตรกร" ข้าราชการบำนาญ ต้องได้รับเงิน 5,000 บาท 

21 พ.ค. 2563 | 04:23 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ค. 2563 | 11:27 น.

เทพไท เสนพงศ์ จี้ครม.อนุมัติ จ่าย "เยียวยาเกษตรกร" ให้ข้าราชการบำนาญ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ต้องได้รับเงิน 5,000 บาท

วันที่ 21 พ.ค. 2563 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า "ข้าราชการบำนาญ" ที่ประกอบ อาชีพเกษตรกรรม ควรได้รับสิทธิ์ในโครงการ "เยียวยาเกษตรกร" 10 ล้านราย ภายใต้วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ของรัฐบาล 

โดยนายเทพไท ว่า ระบุว่า จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2563 ที่ให้สิทธิ์ข้าราชการประจำที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร เป็นอาชีพที่ 2 จำนวน 91,426 ราย ได้รับการเยียวยาจากโครงการเยียวยาเกษตรกร 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ของรัฐบาล

ขณะที่ ข้าราชการบำนาญที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกร จำนวน 84,471 ราย กลับถูกตัดสิทธิ์ ไม่ได้รับการเยียวยาเกษตรกร แต่สามารถไปยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งมีข้าราชการบำนาญที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและถูกตัดสิทธิ์ในโครงการนี้ร้องเรียนมาจำนวนมาก  จึงขอทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการเรียกร้องให้ ครม. ทบทวนมติดังกล่าว เพื่อเห็นชอบให้ข้าราชการบำนาญที่เป็นเกษตรกรมีสิทธิ์เช่นเดียวกับข้าราชการประจำที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกร ซึ่ง ครม. มีมติช่วยเหลือเยียวยาตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2563

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ข้าราชการบำนาญที่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ควรได้รับสิทธิ์การเยียวยาจากโครงการการเยียวยาเกษตรกรของรัฐบาลมากกว่าข้าราชการประจำที่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร นานเทพไท ยก 3 เหตุผลมาประกอบ ดังนี้

1. ข้าราชการบำนาญประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรได้เต็มเวลา ส่วนข้าราชการประจำใช้เวลาทำเกษตรกรรมเป็นงานอดิเรก หรืออาชีพเสริมเท่านั้น

2. ข้าราชการบำนาญได้รับเงินเดือนบำนาญน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ ถ้าหากไม่ทำอาชีพเป็นเกษตรกรด้วย ส่วนข้าราชการประจำ ได้รับเงินเดือนประจำแล้วยังมีเงินประจำตำแหน่ง ค่ารับรอง และสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย

3. ข้าราชการบำนาญส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยชรา ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก ส่วนข้าราชการประจำ ยังอยู่ในวัยสามารถทำงานและช่วยเหลือตัวเองได้เต็มที่


“ขอเรียกร้องถึงรัฐบาลได้ทบทวนมติ และรับพิจารณาการยื่นอุทธรณ์ของข้าราชการบำนาญที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และได้ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกร ให้ได้รับสิทธิ์การเยียวยาจากโครงการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกร เช่นเดียวกับกลุ่มข้าราชการประจำที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรด้วย”