นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากวิกฤติการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจในเครือต้องปิดทำการกว่า 80% ของพื้นที่ขายทั้งหมด เป็นระยะเวลามากกว่าครึ่งของไตรมาสสอง (46 วันจาก 91 วัน) ซึ่งหากเทียบแล้วในช่วงเวลาแห่งความท้าทายดังกล่าว ยอดขายของบริษัทต้องลดลงกว่า 50% แต่ด้วยความมุ่งมั่นของเราที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกค้ายังคงได้รับบริการ และประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีเช่นเดิม ผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชแนลที่เราพัฒนามากว่าสามปี ทำให้ยอดขายในไตรมาสสองลดลงเพียง 21% นอกจากนี้ CRC ยังให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามนโยบายด้านสาธารณสุขของภาครัฐอย่างเคร่งครัด โดยเรายึดเรื่องความสะอาด ปลอดภัย และสุขอนามัยของพนักงาน และลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงาน
“ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อได้อย่างมั่นคง นั่นคือ การสนับสนุนอันดีจากลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และความร่วมมือร่วมใจของพนักงานทุกคนที่มุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก พร้อมปรับวิธีการทำงานเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ตลอดจนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งการบริหารต้นทุน การลงทุน และค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการเสริมสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำให้ CRC สามารถฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธุรกิจของเราทั้งในประเทศไทย เวียดนามและอิตาลีกลับมามียอดขายเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ โควิด-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และผลกำไรโดยรวม (EBITDA) ของบริษัทก็กลับมาเป็นบวกด้วยเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“CRC ยังมองเห็นโอกาสฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จากสัญญาณบวกต่างๆ ทั้งนโยบายของภาครัฐ และศักยภาพของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ช่วยเหลือ SME และกระตุ้นการจ้างงาน โดยเฉพาะแรงงานในภาคค้าปลีกและบริการที่มีมากกว่า 19 ล้านคนในระบบ นอกจากนี้มาตรการด้านสาธารณสุขก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของคนไทยทุกภาคส่วน รักษาระเบียบ และเฝ้าระวังไม่ให้การ์ดตก ซึ่ง CRC เองก็พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสานต่อเจตนารมณ์ขององค์กรที่มุ่งมั่นช่วยเหลือชุมชน เกษตรกร SME และคนไทยทุกคน เพื่อที่จะผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างเข้มแข็ง และก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 นี้ไปได้พร้อมกัน”
อย่างไรก็ตามสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2563 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาตรการล็อกดาวน์และการประกาศเคอร์ฟิว ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2563 ประกอบกับปัจจัยลบต่างๆ ทั้งการหดตัวของภาคการท่องเที่ยว และกำลังซื้อที่อ่อนแรงของผู้บริโภค ส่งผลให้รายได้รวมในไตรมาสสองอยู่ที่ 41,376 ล้านบาท ลดลง 21% และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 2,519 ล้านบาท ลดลง 243% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้รวมในช่วงหกเดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 95,661 ล้านบาท ลดลง 10% และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 1,629 ล้านบาท ลดลง 139%