นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการใช้ระบบตั๋วร่วม ขณะนี้ติดปัญหาด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยี เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความล่าช้า โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ในระยะแรกจะเร่งดำเนินการพัฒนาข้ามระบบเพื่อเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าของบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดินของเอ็มอาร์ที ปัจจุบันมีบัตรโดยสารของบีทีเอส จำนวน 1 ล้านใบ ส่วนบัตรโดยสารของ BEM จำนวน กว่า 2 แสนใบ โดยจะเร่งดำเนินการให้ทันภายในเดือน ต.ค.2563 โดยตั้งเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 ทั้งนี้ในระยะที่สองจะดำเนินการพัฒนาระบบโดยใช้บัตรเดบิต วีซ่า โดยภาคธนาคารจะเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นระบบเปิดกว้างที่สามารถให้ชาวต่างชาติที่เดินทางในไทยสามารถใช้บัตรดังกล่าวแตะกับระบบเพื่อเดินทางเชื่อมต่อรถไฟฟ้าบีทีเอส เอ็มอาร์ที เรือ แท็กซี่ ซึ่งระยะที่สองจะต้องใช้ระยะเวลาหารือเพื่อดำเนินการพอสมควร โดยจะเร่งดำเนินการในระยะแรก ให้แล้วเสร็จก่อน
ทั้งนี้ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ได้ติดตามผลการดำเนินงานพัฒนาตั๋วของระบบขนส่งสาธารณะประเภทต่างๆ ให้สามารถใช้ข้ามระบบกันได้ โดยจะเริ่มใช้ตั๋วร่วมข้ามระบบกับรถไฟฟ้า 3 สาย ประกอบด้วย บัตรแรบบิทของรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว บัตรแมงมุม และบัตร MRT plus ที่ใช้กับรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน
แม้ว่าจะรับรายงานก่อนหน้านี้ว่า อาจไม่ทันตามเป้าหมายที่กำหนด วันที่ 1 ต.ค.63 ขณะเดียวกันบริษัทในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้รับจ้างพัฒนาระบบของบีอีเอส และ MRT ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ไม่สามารถเดินทางไปทดสอบระบบในแล็ปได้ ทำให้ เกิดความล่าช้า ทั้งนี้ได้สั่งการให้บีอีเอสและMRT ต่อรองกับผู้พัฒนาระบบให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
หน้า7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,602 วันที่ 20 - 22 สิงหาคม พ.ศ. 2563