12 กันยายน 2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกล่าสุด 12 กันยายน 2563 ผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า
ติดเพิ่มขึ้นมากถึง 328,920 คน ตายเพิ่ม 5,790 คน ยอดรวมตอนนี้ 28,617,175 คน
อเมริกา ติดเพิ่ม 47,473 คน รวม 6,630,877 คน
อินเดีย ทุบสถิติโลกติดเพิ่มวันเดียวถึง 96,654 คน รวม 4,657,379 คน อาจเห็นการติดเชื้อแตะวันละแสน
บราซิล ติดเพิ่ม 43,718 คน รวม 4,282,164 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 5,504 คน รวม 1,051,874 คน
เปรู โคลอมเบีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สเปน และอาร์เจนตินา เรียงกันมาเป็นอันดับ 5-10 ติดกันวันละหลายพันถึงหมื่นกว่า ยอดรวมห้าถึงเจ็ดแสน
ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ อิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ติดกันเพิ่มหลักพันถึงเกือบหมื่นเช่นกัน
หลายประเทศในยุโรป รวมถึงแคนาดา ปากีสถาน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเมียนมาร์ ติดกันหลักร้อยถึงหลายร้อย
จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลียยังติดกันหลักสิบ ส่วนนิวซีแลนด์และเวียดนามยังติดเพิ่มหลักหน่วย
...สถานการณ์เมียนมาร์ข้างบ้านเรานั้นน่าห่วงมาก เพราะติดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด 272 คน
...มองรอบบ้านแล้วหวนมามองในบ้านเรา...
การติดเชื้อภายในประเทศนั้นเริ่มเห็นชัดเจน ไล่เรียงมาติดๆ กัน มีหลากหลายอาชีพหลายชาติ แถมอาชีพแตกต่างกันไปหมด ที่สำคัญคือพบในเขตเมืองทั้งกทม.และปริมณฑล และต่างจังหวัด
การกระจายลักษณะที่เห็นนี้ เป็นไปแบบเดียวกับหลายๆ ประเทศที่มีการระบาดซ้ำมาก่อนหน้าเมืองไทย และถือเป็นสัญญาณเตือนให้พวกเราทุกคนต้องตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า...ไม่โอเค มีความเสี่ยงสูงที่จะระบาดซ้ำอย่างรวดเร็ว หากไม่ช่วยกันป้องกันตัวอย่างเต็มที่
ปรากฏการณ์ระบาดซ้ำแบบที่เกิดในประเทศอื่นๆ ผมเรียกว่า ระบาดแบบพลุดาวกระจาย หรือแบบตุ่มอีสุกอีใส
หากปล่อยให้เกิดขึ้น จะแพร่วงกว้างอย่างรวดเร็ว คุมได้ยาก ใช้เวลานาน และที่สำคัญคือตามหาต้นตอลำบาก ไม่เหมือนระลอกแรกที่จะหาต้นตอง่ายกว่า
...สำหรับเคสนักฟุตบอลล่าสุด ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่ามีแนวโน้มติดเชื้อภายในประเทศมากกว่าการหลุดจากระบบ 14 วัน แม้จะเป็นไปได้ทั้งสองทางก็ตาม เหตุผลของการประเมินเช่นนี้เพราะกรอบเวลาและบริบทแวดล้อมตอนนี้ ชี้ให้เห็นว่าเรามีการติดเชื้อภายในประเทศอยู่ และไม่ทราบต้นตอ และมีหลายรายที่เห็นในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม สาเหตุของการเกิดติดเชื้อในประเทศซ้ำ ตรงไปตรงมาคือ เกิดจากการนำเข้ามาจากต่างประเทศ จะโดยผ่านการเปิดรับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ในระยะที่ 6 ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับที่เคยคาดการณ์ไว้ว่า จะเห็นเคสติดเชื้อในประเทศภายใน 4-6 สัปดาห์หลังจากแง้มประตูประเทศ
ที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงนัก แต่ก็เคยเล่าเตือนให้ฟังเป็นระยะๆ คือ อาจไม่ใช่เรื่องแง้มอย่างเดียว แต่ระบบกักตัว 14 วันนั้นอาจไม่เพียงพอ เพราะในทุกๆ 100,000 คนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยจะมีการตรวจพบการติดเชื้อราว 500 คน และระบบมาตรฐานที่มีจะมีโอกาสที่เคสหลุดรอดจาก 14 วันนี้ไปได้ราว 2-65 คนครับ
ทั้งสองเหตุผลดังกล่าว จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่อธิบายปรากฏการณ์ที่เราเห็นในปัจจุบัน...
สิ่งที่ต้องทำ คือ
หนึ่ง ประชาชนชาวไทยควรยกการ์ดขึ้นมา ระวังตัวในการใช้ชีวิตเสมอ อย่าตะลอนมากนักในช่วงนี้ หากคิดจะเที่ยวต้องเที่ยวอย่างมีสติ ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตร พูดน้อยๆ พบคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดที่ชุมนุมที่อโคจร และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบายต้องหยุดงานหยุดเรียนและรีบไปตรวจ
สอง ธุรกิจห้างร้านและครัวเรือนที่ใช้แรงงานต่างด้าว ควรขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อย และพาไปตรวจคัดกรอง COVID-19
สาม ธุรกิจห้างร้านต่างๆ รวมถึงหน่วยงานบริการภาครัฐ ต้องสร้างวัฒนธรรมต้อนรับและให้บริการ"คนที่ป้องกันตัวเองและสังคม" หากพบใครไม่ใส่หน้ากาก ควรแจ้งให้ใส่หน้ากากเสมอ หากไม่ใส่ไม่ควรให้บริการ
...การสร้างวัฒนธรรมใหม่นี้สำคัญมาก...
สี่ รัฐควรเร่งสร้างจุดบริการตรวจ COVID-19 ทั้งแบบแยงจมูก แบบตรวจน้ำลาย และตรวจเลือด ให้ครอบคลุมเป็นเครือข่ายทุกพื้นที่ และออกรูปแบบบริการ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและธุรกิจห้างร้านทราบ
ห้า รัฐควรทบทวนนโยบายการเปิดรับกลุ่มเป้าหมาย 11 กลุ่มที่ประกาศไปในระยะที่ 6 โดยพิจารณาเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น
หก รัฐควรลด ละ เลิก การวางแผนขับเคลื่อนนโยบายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะแบบพิเศษ แบบเกาะสวรรค์จังหวัดร่ำรวย หรือแบบฟองสบู่ท่องเที่ยวก็ตาม
ควรชะลอไปก่อนอย่างน้อย 6 เดือน แล้วค่อยประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"เมียนมา"ห้ามเดินทางออกจากเมืองย่างกุ้ง คุมโควิด
ยอดโควิด 12 ก.ย.63 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย มาจาก 4 ประเทศ
ทั่วโลกติดโควิด-19 ทะลุ 28.6 ล้านราย ติดเชื้อเพิ่ม 2.9 แสนราย
"รัฐมหาราษฏระ"อินเดีย ติดเชื้อโควิดทะลุ 1 ล้านราย ใกล้แซงหน้ารัสเซีย