ไทยเบฟ คว้าไฮท์สกอร์โลจิสติก-สิ่งแวดล้อม DJSI

22 พ.ย. 2563 | 05:04 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2563 | 12:09 น.

ไทยเบฟ คว้าอันดับ 1 ของโลก DJSI กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม 3 ปีซ้อน เผยคว้าไฮท์สกอร์ด้านโลจิสติกส์ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรที่ยั่งยืนระดับโลก

นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยเบฟ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืน  ดาวโจนส์ (The Dow Jones Sustainability Indices-DJSI) โดยจัดลำดับให้เป็นสมาชิกของ DJSI Emerging Markets Index กลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 5 และประเภทกลุ่มดัชนีโลก (World Index) เป็นปีที่ 4 โดยล่าสุดได้รับการจัดอันดับ 1 Industry Leader ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยไทยเบฟ ใช้วิธีการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy – SEP) ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน พร้อมทั้งยึดถือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ประการขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals – SDGs) มาปรับใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเป้าหมาย และเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน 

การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มจากการอนุรักษ์น้ำและทรัพยากรธรรมชาติ ไปจนถึงกระบวนการผลิตที่คำนึงความพอเพียง และยังมีอีกหลากหลายกิจกรรมที่สร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมไทยโดยรวม ทั้งด้าน สิ่งแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงเศรษฐกิจ สำหรับไทยเบฟ การพัฒนาห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะส่งผลสำเร็จทางธุรกิจ เริ่มตั้งแต่การจัดซื้อจัดหา ไปจนถึงการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภค ไทยเบฟนำเทคโนโลยีทางด้านดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจแทบทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินความยั่งยืนด้านน้ำ การบริหารจัดการกระบวนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การพัฒนาบุคลากร คู่ค้าและพันธมิตรของไทยเบฟ 

ในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ไทยเบฟจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดตามและวิเคราะห์ข่าวสาร ดูแลการจัดซื้อ จัดส่งและกระจายสินค้า 

นายโฆษิต กล่าวว่า ไทยเบฟได้นำเทคโนโลยีทางด้านดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับทุกๆ ส่วนงาน รวมถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สำหรับพนักงานในองค์กรซึ่งมีอยู่มากถึง 40,000 คน โดยวิเคราะห์พนักงานที่มีความเสี่ยง ซึ่งเป็นการสร้างความพร้อมต่อการรับมือการเปลี่ยนแปลงให้แก่องค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังลงนามบันทึกข้อตกลง “โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (BCG โมเดล) สร้างความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” เพื่อร่วมมือในการขับเคลื่อนประเทศไทยภายใต้เศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) ซึ่งผนึก 3 เศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อส่งผลสู่เป้าหมายที่ยั่งยืน 17 ประการขององค์กรสหประชาชาติ (SDGs) 

ล่าสุด ได้ร่วมก่อตั้ง Thailand Supply Chain Network (TSCN) เพื่อเชื่อมโยงภาคธุรกิจในประเทศไทยในการปกป้องมูลค่าของการลงทุน (Protecting the value) สร้างเสริมคุณค่าของการลงทุน (Creating the value) และสร้างนวัตกรรมและต่อยอดการลงทุน (Innovating the value) ของภาคธุรกิจทั้งในประเทศไทยและประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยในอนาคต เครือข่าย TSCN มีแผนงานที่จะขยายขอบเขตการบูรณาการความร่วมมือไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน อีกทั้งใน ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เกิดความร่วมมือกับหลายภาคส่วน ผลิตและสนับสนุนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ มอบให้หน่วยงานทางด้านสาธารณสุข เพื่อช่วยในการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศ

พร้อมกันนี้ ยังสร้างแพลตฟอร์ม “Thailand Sustainability Expo (TSX) 2020” เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ผู้ร่วมงานเกิดแรงบันดาลใจในการร่วมมือกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ตามแนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก”

"ที่เด่นสุดปีนี้ คือ เรื่อง โลจิสติก และเรื่องสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่สำคัญที่สุด คือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพราะไทยเบฟทำธุรกิจเครื่องดื่ม น้ำเป็นต้นน้ำของธุรกิจ ปีนี้ที่ไทยเบฟ ประสบความสำเร็จมากๆ ไม่ใช่แค่เอาน้ำมาบริหารจัดการเพื่อตัวเอง แต่ไทยเบฟได้นำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการน้ำเพื่อชุมชนรอบข้างของเราด้วย" นายโฆษิตกล่าวและว่า คอนเซ็ปท์ ของเราคือ อะเด็ปตัวเองให้เข้ากับ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อ และอีกอันคือ การดูเรื่องความเสี่ยงด้านน้ำ มีการเพิ่มเรื่องการใช้พลังงานทดแทน โดยปีนี้อัตราการใช้พลังงานทดแทนของไทยเบฟขึ้นมาถึง 32% และภายในปี 2025 เราจะถึง 40%  และสุดท้ายคือ การนำองค์ความรู้ของไทยเบฟ ไปสนับสนุนสังคมที่อยู่รอบข้าง

ส่วนเรื่องของโลจิสติกส์ มีการบริหารจัดการกระบวนการขนส่งและกระจายสินค้าอย่างมีคุณภาพ ไม่เพียงแต่ไทยเบฟเอง แต่รวมถึงพาร์ทเนอร์ผู้ร่วมงานต่างๆ ด้วย 

เป้าหมายของไทยเบฟ ในปีนี้ คือ การสร้างการรับรู้ และในปีต่อๆ ไป คือ การนำองค์ความรู้ที่ได้มาทำให้เกิดประโยชน์ เกิดการลงมือทำ เป็นการขยายผล แบ่งปันคุณค่าให้สังคมรอบข้าง