นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมฯเตรียมรื้อการจัดตั้งกองทุนแบตเตอรี่ ขึ้นมาใหม่ โดยจะมีการทบทวนแนวทางให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในปัจจุบันที่พัฒนาก้าวหน้าไปมาก เนื่องจากแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนเกิดขึ้นตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แต่ขณะนี้เทคโนโลยีการผลิตปรับเปลี่ยนไปมาก
ล่าสุดได้มีการหารือกับผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าชั้นนำของประเทศ พบกว่า การผลิตแบตเตอรี่มีความก้าวหน้าไปจากเดิมมากๆ โดยซากของแบตเตอรี่ไม่จำเป็นต้องนำไปทิ้งหรือกำจัดแล้ว เพราะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพียงปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ในตัวแบตเตอรี่บางชนิด ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นแบตเตอรี่ในบ้านได้ หรือเปลี่ยนแค่แผงเซลไฟฟ้าบางชิ้น ก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม แนวทางในการจัดตั้งกองทุนแบตเตอรี่ต้องสอดคล้องกับแนวทางส่งเสริมการลงทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ ตามโยบายของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาใช้ประเทศไทย เพื่อดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
“โครงสร้างภาษีรถยนต์ทั้งระบบ กรมฯจะต้องเร่งทำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากอัตราโครงสร้างภาษีอีโคคาร์ จะหมดสิทธิประโยชน์ในปี 2568 ฉะนั้น จะต้องเร่งทำให้ชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถวางแผนล่วงหน้าในการย้ายเข้ามาลงทุนในไทยได้ เพราะการลงทุนจะต้องมีการวางแผนการลงทุนระยะยาว” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิตเชื่อว่า ประเทศไทยยังเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งโครงสร้างภาษีที่ส่งเสริมการลงทุน และยังถือเป็นตลาดขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับบางประเทศในอาเซียน แต่อย่างไรก็ตามบางประเทศก็มีจุดแข็งในเรื่องของแร่ธาตุหายากที่ใช้ในการผลิตชิ้นสาวนยนต์ไฟฟ้าบางชนิด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: