วันนี้ (26 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ทั่วประเทศที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จำนวน 279 แห่ง แบ่งเป็นภาครัฐ 176 แห่ง เอกชน 103 แห่ง เฉพาะในพื้นที่ กทม. มี 109 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเอกชน โดยมีคลินิกแล็บเอกชนขนาดใหญ่ที่ประชาชนนิยมไปตรวจ 14 แห่ง
ทั้งนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้จัดทีมลงตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา พบว่าทั้ง 14 แห่งผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 4 ข้อ คือ 1.ผ่านการรับรองของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2.ก่อนตรวจให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ผู้มารับบริการ เช่น มีภาวะเสี่ยงที่ควรตรวจหรือไม่ หากผลเป็นบวกต้องปฏิบัติตัวอย่างไร 3. มีการแจ้งผลที่เป็นบวกหรือติดเชื้อให้แก่ประชาชน หน่วยงานควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมงเพื่อสอบสวนควบคุมโรค และแจ้งข้อมูลแก่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
เพื่อรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อลงในโคแล็บ และ 4.มีข้อตกลงกับสถานพยาบาลที่มีเตียง เป็นหลักประกันว่าคนไข้จะมีเตียงหรือหากเตียงเต็มต้องประสานหาเตียงให้ผู้ป่วยต่อไป หากยังหาเตียงไม่ได้ต้องรายงานให้ผู้อนุญาตทราบในแต่ละพื้นที่ซึ่งขณะนี้คลินิกแล็บ 11 แห่ง มีข้อตกลงร่วมกับสถานพยาบาลเอกชนแล้ว ส่วนอีก 3 แห่ง กำลังลงนามความร่วมมือโดยประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ในเว็บไซต์กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
นายแพทย์ธเรศกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นการร้องเรียนคลินิกแล็บและโรงพยาบาลเอกชนดำเนินการตรวจสอบแล้วเสร็จ 12 แห่งใน 3 ประเด็น คือ การไม่ส่งต่อผู้ป่วยโควิดหลังตรวจหรือวินิจฉัย ไม่รายงานผู้ป่วยต่อกรมควบคุมโรคหรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และการโฆษณาตรวจเชื้อโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยได้ออกคำสั่งทางปกครองให้ทั้ง 12 แห่ง แก้ไขปรับปรุงและระงับการดำเนินการดังกล่าวแล้ว หากไม่ปรับปรุงจะพักใช้ใบอนุญาตหรือให้ยุติการตรวจโควิดและระงับการโฆษณาต่อไป ยืนยันว่าบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หากไม่ดำเนินการมีโทษปรับหรือจำคุกต่อไป หากประชาชนมีประเด็นเรื่องการสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียนเกี่ยวกับสถานพยาบาลหรือคลินิกเอกชน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1426 ในวันและเวลาราชการ
“ช่วงสัปดาห์นี้ได้มอบหมายให้ อสม.เคาะประตูบ้านทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องวัคซีนโควิด การลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม การดูแลสุขภาพ และติดตามผู้ที่เดินทางกลับมาจากการเยี่ยมญาติหลังสงกรานต์ว่ามีอาการป่วยหรือไม่และให้รายงานตามระบบ ช่วงนี้อาจเห็น อสม.ไปเยี่ยมมากขึ้น ขอประชาชนให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล ย้ำว่าวัคซีนสำคัญขณะนี้คือวัคซีนใจและการป้องกันตนเองด้วยการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง รวมถึงขอให้กำลังใจซึ่งกันและกันจะช่วยให้ผ่านวิกฤตช่วงนี้ไปได้ด้วยกัน” นายแพทย์ธเรศกล่าว