จี้คืนชีพเศรษฐกิจ อุ้มร้านอาหาร เร่งวัคซีนโควิด

12 พ.ค. 2564 | 04:45 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ค. 2564 | 11:46 น.

เปิดข้อเสนอ “ภาคการเมือง” สู้โควิด-19 “กรณ์” ชวนประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นคืนชีพเศรษฐกิจไทย ด้าน “สุดารัตน์” ชง 2 มาตรการเร่งด่วน อุ้มธุรกิจร้านอาหารก่อนล้มทั้งกระดาน

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไว้รัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่รุนแรงกว่ารอบที่ 1 และ 2 “ภาคการเมือง” ยังคงออกมาร่วมเสนอแนะแนวทางเพื่อรับมือกับวิกฤติิเกิดขึ้น   

ชงอุ้มธุรกิจร้านอาหาร 

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ได้เสนอ 2 มาตรการเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหาร ก่อนผู้ประกอบการรายย่อยจะล้มทั้งกระดานว่า ร้านอาหารไทยกำลังจะตายเพราะพิษจากไวรัสโควิด-19 รัฐบาลต้องออกมาตร การดูแลธุรกิจร้านอาหารไทยอย่างเร่งด่วน ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่ามาตรการต่างๆ ของรัฐบาลนั้น อาจจะไม่ไปถึงผู้ประกอบการจริงๆ จึงเห็นว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องช่วยเหลือ 2 มาตรการ ดังนี้ 

1. ออกมาตรการเยียวยาเร่งด่วน เพื่อช่วยพยุงชีพร้านอาหารไทยช่วงวิกฤติิ เพื่อไม่ต้องปิดกิจการและพนักงานไม่ตกงาน โดยช่วยจ่ายเงินค่าแรงบางส่วนให้การจ้างพนักงาน 60% เพื่อไม่ให้เกิดการปลดพนักงาน ให้เงินช่วยเหลือ สำหรับร้านอาหารขนาดเล็กที่เป็นกิจการส่วนตัวทำเองในครอบครัว ประมาณเดือนละ 10,000 บาท ยกเว้นการเก็บภาษี 1-2 ปี ช่วยขอความร่วมมือเอกชนลดค่าเช่า และช่วยขอความร่วมมือเอกชนลดค่า GP สำหรับการสั่งซื้อทางออนไลน์ 

2. เร่งเสริมสภาพคล่อง ต่อลมหายใจให้ร้านอาหาร สำหรับร้านอาหารที่อยู่ในระบบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการเป็นสิ่งที่ดี และมาถูกทางแล้วแต่ปัญหาคือ ผู้ประกอบการเข้าถึงได้น้อยและยังไม่เพียงพอ ดังนั้นต้องรีบแก้ไขเพื่อให้เข้าถึง Soft Loan ได้รวดเร็ว และพอเพียงต่อการพยุงธุรกิจ ตั้ง “กองทุนเพื่อธุรกิจอาหารไทย” ช่วยเหลือผู้ประกอบรายย่อยที่อยู่นอกระบบให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้โดยเร็วที่สุด รวมถึงพักชำระหนี้ทั้งต้นและดอกอย่างน้อย 1 ปี และลดดอกเบี้ย

“ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลต้องเร่งนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและฉีดให้เร็วที่สุด เพื่อให้วิกฤติินี้จบนำประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐบาลจะใช้งบประมาณชดเชยและเยียวยาน้อยลง เวลานี้คือช่วง เวลาวิกฤติิ ทุกนาทีที่รัฐบาลทำงานล่าช้าคือความตาย ความยากจนและความทุกข์ของประชาชน ขอวิงวอนให้รัฐบาลเร่งดำเนินการช่วยคนตัวเล็กเหล่านี้ ก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ” คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุ

 

ฉีดวัคซีนฟื้นเศรษฐกิจ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กเชิญชวนประชาชนมาลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านแอปพลิเคชั่น “หมอพร้อม” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศ ด้วยการระบุว่า การฉัดวัคซีนเป็นทาง ออกของประเทศ เนื่องจากขณะนี้ตัว เลขผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ลดลง ส่งผลต่อการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน เกิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ 

เราต้องยอมรับว่า โควิดนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน การฉีดวัคซีนนั้น ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนที่เรารักด้วย ถ้าเราฉีดกันมากๆ ก็จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ เพื่อให้ร้านค้าสามารถเปิดได้ เพื่อให้ธุรกิจเล็กๆ ไม่ตาย ทุกคนออกไปใช้ชีวิตกันแบบเดิมได้ เราจะหลุดพ้นออกจากสภาพนี้ได้ ก็ต่อเมื่อได้รับวัคซีน เพราะฉะนั้นการลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีนเป็นเรื่องสำคัญกันมาก 

 

จี้คืนชีพเศรษฐกิจ อุ้มร้านอาหาร เร่งวัคซีนโควิด

 

“ในต่างประเทศที่ได้ฉีดวัคซีนกันไปเยอะแล้ว ทุกอย่างกลับมาสู่ ความเป็นปกติ ยกตัวอย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา อย่างน้อย 1 โดส ไปกว่าครึ่งของประชากร และหนึ่งในสี่ที่ได้รับ 2 โดส หรือ 25% ซึ่งความจริงโดสแรกก็จะได้รับการคุ้มครองสูงถึง 90% แล้ว โดส 2 เพียงแค่ต่ออายุการคุ้มครองวัคซีนไปเท่านั้น ซึ่งขณะนี้คนอังกฤษก็สามารถออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติ การทำมาค้าขายก็เริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับอเมริกาที่ฉีดเข็มแรกให้กับประชากร 1 ใน 3 ของประเทศ หรือ 34% สถานการณ์โดยรวมก็เริ่มดีขึ้น และคาดว่าจีดีพีของประเทศจะโตถึง 10% ได้” 

หัวหน้าพรรคกล้า ระบุด้วยว่าสำหรับประเทศไทยวัคซีนลอตแรก คือแอสตราเซเนกา ก็ได้รับการตรวจสอบแล้วว่ามีมาตรฐานคุณภาพที่ดี และจะเริ่มฉีดให้กับประชาชนวันที่ 7 มิ.ย.นี้ จึงอยากเชิญชวนทุกคน ใครที่ยังไม่ อยู่ในเกณฑ์ที่จะลงทะเบียนได้ก็ช่วยกันชี้แจงญาติผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรค ประจำตัว ที่เข้าเกณฑ์ ให้สบายใจที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน “หมอพร้อม” จากสำรวจพบว่ามีประชาชนมาลงทะเบียนยังไม่ถึง 2 ล้านคน จากผู้มีสิทธิประมาณ 12 ล้านคน ไม่รวมผู้มีโรคประจำตัว 7 ชนิด อีกหลายล้านคน  

 

ชี้เหตุคนกลัววัคซีน

หัวหน้าพรรคกล้า ยังระบุถึงเหตุผลที่ประชาชนยังไม่กระตือรือร้นฉีดวัคซีนว่า มีเหตุผลหลักคือ 

1. กลัวผลข้างเคียงเนื่องจากมีข่าวออกมามาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมาทบทวนว่า อย่างน้อยการฉีดวัคซีนก็ปลอดภัยกว่าการติดเชื้อที่มีผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทุกวัคซีนที่ใช้ในการฉีดก็ล้วนได้รับความไว้วางใจจากผู้นำทั่วโลกในหลายประเทศ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราคลายความกังวลได้ถึงอันตรายจากผลข้างเคียง โดยผู้นำที่ได้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา ได้แก่ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ไต้หวัน ส่วนผู้นำที่ฉีดวัคซีนซีโนแวค ได้แก่ ผู้นำอินโดนีเซีย ฮ่องกง ชิลี ตุรกี

2. คือการตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนยี่ห้ออะไรดี ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีหลักวิทยาศาสตร์ที่ต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ลดโอกาสในการ ติดเชื้อ และลดการแพร่ระบาด ส่วนผู้ที่ติดแล้วเป้าหมายเดียวกันคืออาการไม่หนักจนกระทั่งต้องเข้าไอซียู 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสิ่งที่เป็นปัญหาอีกอย่างเวลานี้ คือการขึ้นทะเบียนที่ค่อนข้างยากสำหรับผู้สูงอายุ และจากการสำรวจพบว่า คนในชนบทบางคนไม่รู้ด้วยซํ้าว่ามีการลงทะเบียน เรื่องของการสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญ และไม่ควรจะพึ่งพาเฉพาะรัฐเท่านั้น ทุกคนสามารถช่วยกันสื่อสารบอกต่อกันได้

 

ถอดประสบการณ์ 2 จว.

นายกรณ์ ยังได้ถอดประสบการณ์ 2 จังหวัดที่ประสบความสำเร็จจากการขึ้นทะเบียนและเข้ารับการฉีดวัคซีนคือ ลำปาง และ ภูเก็ต โดยเฉพาะที่ จ.ลำปาง ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดคือ นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร หรือ “ผู้ว่าหมูป่า” รณรงค์ให้ประชาชนมาขึ้นทะเบียนได้แล้วกว่า 220,000 คน เทียบกับจังหวัดอื่นส่วนใหญ่ที่มีการขึ้นทะเบียนเพียงหลักพันคน ลำปางมีประชากร 730,000 คน ซึ่งมีอายุในเกณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนได้ (เกิน 60 ปี) 170,000 คน ดังนั้น โดยตัวเลขหมายถึง มีผู้มีโรคประจำตัวอีกราวๆ 50,000 คน

“ทำไมลำปางทำได้ ในขณะที่จังหวัดอื่นทำไม่ได้ แม้แต่กรุงเทพฯ ที่มีประชากรมากกว่าลำปางถึง 8 เท่า การเข้าถึงข้อมูล รวมถึงตัวเลขสัดส่วนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสูงกว่ามาก แต่กลับมีผู้ขึ้นทะเบียนมากกว่าลำปางเพียงเท่าเดียว ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ทำอย่างไร นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องรีบศึกษา เพื่อแนะแนวให้กับทุกจังหวัดได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม เพราะการฉีดวัคซีนโดยเร็วคือทางออกของประเทศ และเป็นความหวังของประชาชนที่เดือดร้อนหนักหนาสาหัสจากผลกระทบโควิดระลอกที่ 3 นี้ ส่วนที่ จ.ภูเก็ต ก็จัดลำดับขั้นตอนการฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าสองจังหวัดทำได้ ทุกๆ จังหวัดก็ต้องทำให้ได้” 

นายกรณ์ กล่าวว่า เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์ ก่อนวัคซีนจะมาถึง ตนยังเชื่อว่าทำได้ แต่ดูจากสถาน การณ์วันนี้แล้ว ต้องเร่งอีกมาก เนื่อง จากมีคนเดือดร้อนกันมาก ถ้าเรายังลังเลและรอให้คนอื่นฉีดก่อน ก็จะไม่ทำให้เราเข้าสู่เป็นปกติในการดำรงชีวิตได้ จึงอยากให้การฉีดวัคซีนเป็นหน้าที่ในฐานะประชากรที่ดีคนหนึ่ง 

“เรื่องการทะเลาะกันในเรื่องวัคซีน มันผ่านไปแล้ว มันเป็นเพียงข้อบกพร่องในอดีต อยากให้ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดี และมองไปอนาคต หน้าที่ของรัฐเวลานี้คือ รณรงค์ให้คนมาฉีดวัคซีน ส่วนหน้าที่ของประชาชน คือเตรียมความพร้อมในการไปรับวัคซีน ที่สำคัญคือสร้างความเชื่อมั่นจากการสื่อสารที่ชัดเจนต่อเนื่อง เราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน” หัวหน้าพรรคกล้า 

 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,678 หน้า 12 วันที่ 13 - 15 พฤษภาคม 2564