สร้างเสียงฮือฮา กังขาไปทั่วบ้านทั่วเมือง สำหรับผลการประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)ก่อสร้างโครงการ รถไฟทางคู่สายใหม่ 2เส้นทางมูลค่า1.28แสนล้านบาท ประกอบด้วยสายเหนือ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323กิโลเมตร มูลค่า7.29หมื่นล้านบาท และ สายอีสานช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง355กิโลเมตร มูลค่า5.5หมื่นล้านบาท รวม5สัญญาของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ที่ราคาเสนอต่ำกว่าราคากลางแบบเฉียดฉิวหรือห่างเพียง0.08-0.09%
อีกทั้งมีเพียง ผู้รับเหมา5รายมีผลงานผ่านเกณฑ์ทีโออาร์ และส่อไปในทางที่อาจจะแบ่งงานกันครบทั้ง 5ราย5 สัญญา ราวกับตาเห็น ตามด้วยราคากลางทั้งสองเส้นทางที่สูงเฉลี่ย 1.9หมื่นล้าน-2หมื่นล้านบาท กับผลงานทางรางมูลค่างานสูงลิ่ว ทำให้ผู้รับเหมารายกลางยากที่จะเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ หากเทียบกับการประมูลรถไฟทางคู่ สายใต้ เมื่อปี2560 ช่วงนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพรแล้วราคาเสนอต่ำสุดห่างจากราคากลางถึงกว่า5% สะท้อนว่า การประมูลสุดๆร้อนๆในครั้งนี้ ไร้การแข่งขันอาจเกิดการฮั้วเกิดขึ้นหรือไม่
ดร. สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊ก กระทุ้งถามอีกครั้ง เมื่อวันที่ 5มิถุนายน ว่า “ประมูลทางคู่สายใต้ประหยัดกว่า 2 พันล้านจะเลือกประมูลรถไฟทางคู่แบบไหน? สายใต้ประหยัดกว่า 2 พันล้านสายเหนือ 60 ล้าน สายอีสานแค่ 46 ล้าน”
ดร.สามารถ ย้อนการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ช่วงนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ในปี 2560 ของรฟท. โดยยืนยันว่าสามารถประหยัดค่าก่อสร้างได้ 2,039 ล้านบาท จากราคากลาง 36,021 ล้านบาท คิดเป็น 5.66% ในขณะที่เมื่อเร็วๆ นี้ การประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ประหยัดได้เพียง 60 ล้านบาท จากราคากลาง 72,918 ล้านบาท คิดเป็น 0.08% และการประมูลรถไฟทางคู่สายอีสานช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ประหยัดได้แค่ 46 ล้านบาท จากราคากลาง 55,456 ล้านบาท คิดเป็น 0.08% เท่ากับสายเหนือ ถามว่าประมูลแบบไหนดีกว่า?แน่นอนครับ
การประมูลแบบสายใต้ย่อมดีกว่า เพราะสามารถประหยัดค่าก่อสร้างได้มากกว่าการประมูลแบบสายใต้ ทำอย่างไร?การประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ซึ่งประหยัดค่าก่อสร้างได้มาก ทำดังนี้
1. แบ่งการก่อสร้างออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญา ทำให้ค่าก่อสร้างต่อสัญญาลดลง และกำหนดให้ผู้รับเหมาที่จะเข้าประมูลต้องเคยมีผลงานก่อสร้างทางรถไฟไม่น้อยกว่า 10% ของค่าก่อสร้างต่อสัญญา ทำให้ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าประมูลได้ด้วย ไม่ใช่เฉพาะผู้รับเหมาขนาดใหญ่เท่านั้น ส่งผลให้การประมูลเกิดการแข่งขันกันมากกว่า
อนึ่ง การรถไฟแห่งประเทศไทยอาจโต้แย้งว่าการแบ่งการประมูลออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญาจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารงานก่อสร้าง แต่ทำไมกรมทางหลวงจึงแบ่งการประมูลมอเตอร์เวย์ออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญาได้โดยไม่เกิดปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ กรมทางหลวงแบ่งการประมูลมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 59,410 ล้านบาท (ไม่รวมค่าเวนคืน ค่างานระบบ และค่าที่พักริมทาง) ออกเป็น 40 สัญญา และแบ่งการประมูลมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 38,578 ล้านบาท (ไม่รวมค่าเวนคืน ค่างานระบบ และค่าที่พักริมทาง) ออกเป็น 25 สัญญา
2. แยกประมูลงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณออกจากงานก่อสร้างทางรถไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการล็อกสเปกให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทางรถไฟรายใดรายหนึ่ง เนื่องจากผู้ผลิตระบบอาณัติสัญญาณสามารถเลือกออกหนังสือรับรองที่จะขายและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณให้ผู้รับเหมารายใดก็ได้ ทำให้ผู้รับเหมารายนั้นมีสิทธิ์เข้าประมูลได้
การประมูลแบบสายเหนือและสายอีสานซึ่งประหยัดค่าก่อสร้างได้น้อยมาก ทำอย่างไร?
1. ไม่แบ่งการก่อสร้างออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญา ทำให้ค่าก่อสร้างต่อสัญญามีมูลค่าสูง อีกทั้งได้กำหนดให้ผู้รับเหมาที่จะเข้าประมูลต้องเคยมีผลงานก่อสร้างทางรถไฟไม่น้อยกว่า 15% ของค่าก่อสร้างต่อสัญญา ซึ่งสูงกว่าการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ที่กำหนดไว้เพียง 10% ของค่าก่อสร้างต่อสัญญา ทำให้ผู้รับเหมาขนาดกลางไม่สามารถเข้าประมูลได้ ถ้าจะเข้าก็ต้องไปรวมกับผู้รับเหมาขนาดใหญ่เป็นกิจการร่วมค้า ซึ่งมักจะถูกปฏิเสธจากผู้รับเหมาขนาดใหญ่ เนื่องจากไม่ต้องการแบ่งรายได้และผลงานให้ผู้รับเหมาขนาดกลาง หากผู้รับเหมาขนาดกลางมีผลงานเพิ่มขึ้นก็จะกลายเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่ในวันข้างหน้า ทำให้มีผู้รับเหมาขนาดใหญ่เข้ามาแข่งขันกันมากขึ้น โอกาสที่จะชนะการประมูลโครงการใดโครงการหนึ่งก็จะยากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้รับเหมาขนาดใหญ่ได้งานแล้วก็มักจะจ้างผู้รับเหมาขนาดกลางเป็น “ผู้รับเหมาช่วง” มาทำงานให้
2. รวมประมูลงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณเข้ากับงานก่อสร้างทางรถไฟ ซึ่งอาจทำให้มีการล็อกสเป็กให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทางรถไฟรายใดรายหนึ่งก็ได้ เนื่องจากผู้ผลิตระบบอาณัติสัญญาณสามารถเลือกออกหนังสือรับรองที่จะขายและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณให้ผู้รับเหมารายใดก็ได้ ทำให้ผู้รับเหมารายนั้นมีสิทธิ์เข้าประมูลได้
ด้วยเหตุนี้ การประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสานจึงมีผู้รับเหมาเข้าแข่งขันเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ทำให้ได้ราคาประมูลเฉียดฉิวราคากลางมาก
สรุป
การประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ซึ่งประหยัดค่าก่อสร้างได้มากเกิดขึ้นในรัฐบาล คสช. ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่การประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสานซึ่งประหยัดค่าก่อสร้างได้น้อยมากเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน
ถามว่ารัฐบาล คสช. ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถทำให้การประมูลรถไฟทางคู่ประหยัดค่าก่อสร้างได้มาก แล้วทำไมรัฐบาลนี้ที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนกัน จึงทำไม่ได้?
ทั้งนี้ดูกันชัดๆอีกครั้ง ผลประกวดราคา2รถไฟทางคู่ใหม่สายเหนือ-อีสานมูลค่า1.28แสนล้านบาท ดังนี้
1.โครงการก่อสร้างทางคู่สายเหนือ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 323กม.มูลค่า 7.29หมื่นล้านบาท 3สัญญาสัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว 103 กม. ราคากลาง 26,599 ล้านบาท กิจการร่วมค้า ITD-NWRเสนอราคาต่ำสุด 26,568 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 31 ล้านบาท สัญญาที่2 ช่วงงาว-เชียงราย 135 กม. ราคากลาง 26,913 ล้านบาทกิจการร่วมค้า CKST JOINT VENTURE เสนอราคาต่ำสุด 26,900 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 13 ล้านบาท สัญญาที่ 3 ช่วง ช่วงเชียงราย-เชียงของ 84 กิโลเมตร ราคากลาง 19,406 ล้านบาท กิจการร่วมค้า CKST JOINT VENTURE เสนอราคาต่ำสุด 19,390 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 16 ล้านบาท
2.โครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน ช่วงบ้านไผ่-นครพนม 355กม.มูลค่า5.5หมื่นล้านบาท 2สัญญาสัญญาที่ 1 ช่วงบ้านไผ่-หนองพอก 177.50 กม. ราคากลาง 27,123 ล้านบาท เอ.เอส. JVรับเหมาท้องถิ่น เสนอราคาต่ำสุด 27,100 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง23ล้านบาท สัญญาที่2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 177.2 กม. ราคากลาง 28,333 ล้านบาทยูนิค ฯJVรับเหมาท้องถิ่น เสนอราคาต่ำสุดอยู่ที่ 28,310 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 23ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง