“ไทยสร้างไทย”เสนอแก้รธน.ทั้งฉบับ ตัดส.ว.ร่วมโหวตนายกฯ

14 มิ.ย. 2564 | 11:24 น.

“ไทยสร้างไทย"หนุนพรรคร่วมฝ่ายค้านเร่งแก้ รธน.ทั้งฉบับโดย “สสร.” แนะยึด "ฉบับโภคิน" อย่าหลงแก้รายมาตรา ไม่แตะหมวด 1-2 เสนอตัดอำนาจส.ว. จี้เร่งผ่านร่างพ.ร.บ.ประชามติ

วันนี้(14 มิ.ย.64) ที่พรรคไทยสร้างไทย นายโภคิน พลกุล และ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ร่วมกันแถลงข่าวแสดงจุดยืนต่อการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคพลังประชารัฐ โดยเมื่อครั้ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 และผลักดันจนสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 และเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 2563

คณะกรรมาธิการชุดดังกล่าวเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็ได้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญที่ นายโภคิน พลกุล เสนอต่อคณะกรรมาธิการเพื่อผลักดันให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจำนวน 200 คน เป็นองค์กรยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นด้วย 

ขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลรวมถึงภาคประชาชนก็ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญทำนองเดียวกันต่อรัฐสภาจนเสร็จสิ้นในวาระ 2 แต่ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐกลับไปยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญจนมีคำวินิจฉัยว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดังกล่าวทำไม่ได้ ถ้าไม่ถามประชามติจากประชาชนเสียก่อน

คุณหญิงสุดารัตน์ และพรรคไทยสร้างไทยได้เสนอขอให้รัฐสภาเลื่อนการลงมติในวาระ 3 ไปก่อน เพื่อรอการทำประชามติซึ่งสามารถทำได้เลย เพราะกฎหมายประชามติตามรัฐธรรมนูญ2550 ยังมีผลใช้บังคับอยู่ หรือจะรอกฎหมายประชามติตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่รัฐสภากำลังพิจารณาอยู่ก็ได้ แต่รัฐสภาก็ได้ลงมติไปโดยสมาชิกวุฒิสภาและ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านวาระ 1 และวาระ 2 มาแล้ว ขณะเดียวกัน สมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับการชะลอการลงมติในวาระ 3

การเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้จึงเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากต้องการแก้ไขเรื่องระบบเลือกตั้งเป็นหลัก ผนวกกับการให้ ส.ส.เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณได้ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบและให้เหตุผลโดย นายมีชัย ฤชุพันธ์ และคณะว่าเพื่อให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย จึงใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ให้มีส.ส.เขต 350 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน ทั้งห้าม ส.ส.เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณโดยเด็ดขาด จึงเป็นการไม่ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และต้องการแก้ไขเฉพาะประเด็นที่พรรคการเมืองใหญ่จะได้เปรียบในการเลือกตั้ง ซึ่งตรงข้ามกับเจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ และใช้มาได้เพียง 2 ปีกว่าเอง ส่วนการแก้ไขรายมาตราที่เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ทำเพียงเพื่อให้ดูดีเท่านั้น

พรรคไทยสร้างไทยขอยืนยันว่า ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 ตามร่างที่นายโภคิน ได้เสนอไว้ต่อคณะกรรมาธิการฯ และพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้เห็นชอบจนผ่านวาระ 1 และวาระ 2 ของรัฐสภาแล้วเป็นหลัก และหากจะมีการแก้ไขรายมาตรา ก็ต้องเป็นมาตราที่เกี่ยวกับการสืบทอดอำนาจและขัดต่อหลักการประชาธิปไตยเป็นสำคัญ 

เช่น การตัดอำนาจวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี การนิรโทษกรรม คสช. และผู้เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุด ที่นายโภคิน เสนอไว้ในรายงานของกรรมาธิการคือ การต้องมีบทบัญญัติที่ห้ามนิรโทษกรรมการรัฐประหารหรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยให้บทบัญญัติเช่นว่านี้มีค่าเท่ากับประเพณีการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกองค์กรโดยเฉพาะศาล ต้องยึดถือและปฏิบัติตาม

ดังนั้น พรรคไทยสร้างไทยจึงเห็นว่า รัฐสภาต้องพิจารณาร่างกฎหมายประชามติ ที่เสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว ให้จบวาระ 2 และวาระ 3 เพื่อเสนอโปรดเกล้าฯ ทรงลงประปรมาภิไธยต่อไป และเมื่อมีผลใช้บังคับ นายกรัฐมนตรี องค์กร และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องรีบทำประชามติถามประชาชนว่า สมควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างและเห็นชอบโดยประชาชนหรือไม่โดยทันที


พรรคไทยสร้างไทย ขอเรียกร้อง ให้พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันผลักดัน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ตกไปในวาระ 3 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้ง และอย่าได้หลงประเด็นไปกับการแก้รายมาตรา ที่ไม่ได้ขจัดการสืบทอดอำนาจ หรือเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของพรรคตนในการเลือกตั้งเป็นสำคัญ

ขณะที่นายวัฒนา กล่าวว่า เมื่อมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ ตนได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการ รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนซึ่ง ผลของการรับฟังความคิดเห็นประชาชนส่วนใหญ่ต้องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่าง โดยประชาชน ก็คือร่างโดย สสร. 

รายงานนี้ได้นำเข้าเสนอต่อคณะกรรมธิการคณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ที่มาจากหลายพรรคการเมือง ก็เห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.เช่นกัน จึงนำไปสู่การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยร่างที่เสนอแก้ไข เป็นร่างที่นายโภคิน ยกร่างขึ้นมาแต่ปรากฏว่า ไปถูกคว่ำในชั้นกรรมาธิการ หากจะมีการเสนอใหม่ พรรคการเมืองทุกพรรคที่เคยให้การสนับสนุนว่า รัฐธรรมนูญต้องร่างใหม่ โดยสสร.ก็ควรสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน มากกว่าที่จะเสนอแก้ไขรายมาตรา ซึ่งไม่มีเหตุผล เพราะว่าก่อนหน้านั้น ทุกพรรคการเมืองมีมติ มติดังกล่าว นำมาสู่การแถลงข่าวร่วมกัน ที่รัฐสภา โดยทุกพรรค การเมืองได้ขึ้นเวทีร่วมกันและแถลงว่าจะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อตั้ง สสร.