จุดเด่นที่ทำให้ “ไอซ์แลนด์” ดินแดนฝั่งตะวันตกของ “สแกนดิเนเวีย” มีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆในแถบขั้วโลกเหนือนั่นก็คือ การสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ไปกับ “แสงเหนือ” หรือ “ออโรร่า”ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสุดอันซีน ที่ใครๆก็อยากมีฟิลลิ่งว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปไล่ล่าปรากฏการณ์แสงเหนือซึ่งคุณจะมองเห็นได้แทบทุกที่ในเมืองแห่งนี้ ช่วงฤดูหนาว
ปรากฏการณ์เหนือท้องฟ้า อันเกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์และระเบิดเป็นลำแสงสีต่างๆกันเกิดเป็นความสวยงามตระการตา แต่งแต้มไปทั่วท้องฟ้า มองดูแล้วก็คล้ายหมู่ดาวและลำแสงจากท้องฟ้าที่กำลังเต้นระบำอย่างพลิ้วไหว
[caption id="attachment_142682" align="aligncenter" width="503"]
น้ำตกกุลล์ฟอส[/caption]
ความงดงามนี้จึงไม่แปลกที่แม้ไทยจะยังไม่ไฟล์ต บินตรงสู่ไอซ์แลนด์ ต้องบินมาต่อเครื่องที่ยุโรป ก่อนใช้บริการสายการบินไอซ์แลนด์แอร์ บินเข้าสนามบินนานาชาติเคฟลาวิคไอซ์แลนด์ แต่เราก็ยังเต็มใจที่จะดั้นด้นออกไปเปิดประสบการณ์กับทริปท่องเที่ยวในฝันนี้
จุดหมายการเยือนไอซ์แลนด์ ของ Take a Trip ไม่ได้อยู่ที่เพียงแสงเหนือเท่านั้น เพราะเมื่อเรามีโอกาสได้เดินทางออกนอกเมือง “เรคยาวิค” ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่สุดในโลก ระหว่างสองข้างทาง จะพบภาพน่าทึ่ง ของ “หินลาวา” สีดำและภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาดโพลนขณะที่พื้นดินบางส่วนมีควันสีขาวลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนใต้ดิน ตรงรอยแตก ทำให้ประเทศนี้มีความน่าสนใจตรงที่รัฐบาลได้แปลงความร้อนเป็นพลังงานไฟฟ้าใช้ทั่วประเทศนั่นเอง
เดสติเนชั่นยอดฮิต ที่นักท่องเที่ยวต้องลิสต์ไว้ คือ “เส้นทางวงแหวนทองคำ”(Golden Circle)ก็คือ “น้ำตกกูลฟอสส์” (Gullfoss)หนึ่งในความสวยงามอันดับต้นๆของโลก ซึ่งได้รับขนานนามว่าเป็น “ไนล์แองการา” แห่งไอซ์แลนด์ ธรรมชาติที่ถูกเนรมิตขึ้นจากการละลายของธารน้ำแข็งกลายเป็นกระแสน้ำตกทิ้งตัวลงมาจากระดับความสูงของหน้าผาราว 30 เมตร กระเซนเป็นละอองน้ำแต่ด้วยความที่เราไปไปในช่วงเดือนมีนาคม ภาพที่เห็นจึงมีแต่หิมะขาวโพน ก็ยังคงสวยสมคำล้ำลือตามชื่อของกูลฟอสส์อันมีความหมายว่า “น้ำตกทองคำ”
อีกทั้งบริเวณวงแหวนทองคำยังมี “อภิมหาน้ำพุร้อนกีเซอร์” (Geysir)น้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นสูงในอากาศกว่า 70 เมตร พร้อมเสียงกระหึ่มดังจากแรงดันมหาศาลใต้พิภพ เกือบทุกๆ 7-10 นาที ด้วยความร้อนราว 400 องศาเซลเซียส ขอบอกว่ามาเจอน้ำพุร้อนกีเซอร์แห่งนี้ต้องมีตะลึง
ไหนๆมาไอซ์แลนด์ ต้องไม่พลาดกับการได้มาเยือน “อุทยานแห่งชาติธิงแควลลิร์” (Thingvellir National Park)อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอซ์แลนด์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโกณ ที่แห่งนี้เป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมระหว่างทวีปยุโรปและอเมริกา มีบันทึกว่าเป็นที่ตั้งของสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์อีกด้วย
[caption id="attachment_142683" align="aligncenter" width="503"]
น้ำตกเฮินฟอซซา[/caption]
ส่วนพวกน้ำตกอื่นๆ มีหลายแห่ง ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กันเช่น“น้ำตกเฮินฟอซซ่า” (Hraunfossar Waterfalls) “น้ำตกเซลจาลันต์ฟอสส์” (Seljalandsfoss Falls)น้ำตกแห่งนี้มีความพิเศษตรงด้านหลังเดินเข้าไปจะเห็นเป็นม่านน้ำตก รวมถึง “น้ำตกสโคคาร์ฟอสส์” (Skogafoss)ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ สูงถึง 61 เมตร
[caption id="attachment_142681" align="aligncenter" width="503"]
ชายหาดทรายสีดำ[/caption]
ก่อนปิดทริปนี้ด้วยการมุ่งหน้าไปยัง1 ใน 10 หาดที่สวยที่สุดในโลก“ชายหาดทรายสีดำ” (Black Sand Beach)ทั้งหาดเป็น “บะซอลต์” ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟ หรือลาวาที่เย็นลงอย่างรวดเร็วเมื่อไหลจากภูเขาไฟมากระทบบนผิวโลก ยาวเกือบ 400 กิโลเมตร ตั้งแต่เมืองวิคจนถึงเมืองฮอฟน์ตามหาดทรายสีดำยังมีถ้ำและเสาหิบะซอลต์โผล่จากท้องทะเลเหมือนเป็นแท่งคอนกรีตกลางทะเล
ความน่าทึ่งและประติมากรรมทางธรรมชาติอันหลากหลายที่เกิดขึ้น จึงถือได้ว่า‘ไอซ์แลนด์’ได้รับของขวัญจากธรรมชาติไปเต็มๆ และกลายเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ต้องไปเยือนสักครั้ง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,255 วันที่ 23 - 26 เมษายน พ.ศ. 2560