ฉาวโฉ่มาตั้งแต่ปลายปี 2563 สำหรับกรณีการทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง มูลค่า 112,500 ล้านบาท และการจ่ายเงินค่ามัดจำสินค้า 2,000 ล้านบาทให้กับบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ที่พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และพวกที่อาศัยช่องโหว่งขณะรักษาการผอ.อคส. รีบร้อนในการอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างถุงมือยาง
ซึ่งกลายเป็นเผือกร้อนต้อนรับนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ต้องเร่งสางปัญหาดังกล่าว และล่าสุดผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีนายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้ตรวจสอบแล้วเสร็จ ซึ่งสรุปได้ว่า มีเจ้าหน้าที่ อคส. ซึ่งอยู่ในระดับนักบริหาร 8 จำนวน 2 ราย เกี่ยวข้องกับการกระทำของพ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ที่มีพฤติกรรมใช้อำนาจพิจารณาอนุมัติโครงการจัดซื้อถุงมือยางโดยมิชอบ
ทั้งๆ ที่ตามข้อบังคับ อคส. ว่าด้วยการค้าข้าว พืชผล และสินค้าต่างๆ เพื่อการค้าปกติพ.ศ.2526 ถ้าวงเงินที่จะจัดซื้อสินค้า เกินอำนาจที่ผู้อำนวยการ อคส. จะอนุมัติได้ หรือเกินกว่า 25 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอขออนุมัติต่อประธานกรรมการ อคส. (บอร์ดอคส.) แต่พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ไม่ได้เสนอให้พิจารณาอนุมัติและไม่มีการเสนอเรื่องการจัดซื้อให้บอร์ด อคส. พิจารณาอนุมัติ
แต่กลับใช้ดุลพินิจตีความกฎหมาย เพื่อให้ตนเอง ซึ่งเป็นรักษาการผู้อำนวยการ มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติจัดซื้อและจ่ายเงินค่าถุงมือยางเอง และยังจงใจใช้อำนาจในฐานะผู้อำนวยการ ทำสัญญาซื้อถุงมือยางกับการ์เดียนโกลฟส์ และทำสัญญาขายกับผู้ซื้อทั้ง 7 ราย โดยที่สัญญานั้น ไม่ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.)
รวมถึง ยังทำสัญญาให้ อคส. เสียเปรียบ โดยสัญญาที่ทำกับการ์เดียนโกลฟส์ กำหนดให้ อคส. ชำระเงินค่าสินค้าล่วงหน้าใน 3 วัน นับแต่วันลงนามในสัญญา แต่กลับกำหนดให้การ์เดียนโกลฟส์ ส่งมอบหลักประกันให้ อคส. ภายใน 7 วัน เป็นเหตุให้ อคส. ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาทก่อนได้รับวงเงินประกันสัญญา
ทั้งที่โดยปกติ ต้องส่งมอบหลักประกันในวันทำสัญญา และยังไม่กำหนดงวดการส่งมอบถุงมือยาง รวมทั้งไม่ทำตามระเบียบ อคส. ว่าด้วยการจัดซื้อสินค้าเพื่อการค้าปกติพ.ศ.2561 ซึ่งก่อนจัดซื้อจัดจ้าง
โดยคณะกรรมการฯได้ส่งผลตรวจสอบให้นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผอ. อคส. เพื่อส่งผลการสอบสวนให้กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกอบการพิจารณาคดี ที่ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างดำเนินการ รวมถึงส่งให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาแล้ว
อย่างไรก็ตามอคส.ได้ตั้งคณะกรรมกาสอบวินัยเพื่อสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากพบว่า มีความผิดจริง จะตั้งคณะกรรมการขึ้นอีก 1 ชุด เพื่อพิจารณาลงโทษ แต่ในเบื้องต้นเข้าข่ายมีความผิดวินัยร้ายแรง แต่เบื้องต้นอาจมีคำสั่งให้พักงานไปก่อน
สำหรับโทษ หากพบว่ามีความผิดจริง กรณีทางแพ่ง จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502 มาตรา 11 ผู้ใดเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนกรณีทางอาญา จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ.2499 มาตรา 151 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท
รวมถึงมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ