นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. (ส.อ.ท. ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) เปิดเผยว่า ต้องการเสนอให้รัฐบาลกำหนดเรื่องวัคซีนโควิด-19ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับต่างประเทศ ทั้งในภาคเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ต้องการให้ภาครัฐจัดทำกระบวนการและวิธีการในการฉีดและกระจายวัคซีนให้ชัดเจน และทั่วถึงเพียงพอต่อจำนวนประชากรในภายภาคหน้า รวมถึงแรงงานต่างด้าว โดยภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐเรื่องค่าใช้จ่าย โดยขอลดหย่อนภาษีเรื่องการฉีดวัคซีน
“กกร.มีความเป็นห่วงเรื่องการจัดหาวัคซีนที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยการที่ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวและการลงทุน ดังนั้น จึงควรที่จะมีใบรับรองยืนยันการฉีดวัคซีน หรือวัคซีนพลาสปอต (Vaccine Passport) ซึ่งมองว่าการเดินทางในอนาคตไปยังประเทศอื่นจะมีการควบคุมดูแล และมีความเข้มงวดมากขึ้นในอนาคต โดยโครงการวัคซีนพลาสสปอตจะทำให้เกิดความมั่นใจทางด้านการติดต่อ และการท่องเที่ยว”
นายสุพันธุ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 1/64 ถูกกดดันจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ยังไม่คลี่คลายและมีความไม่แน่นอนสูง โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้นขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) ซึ่งจำเป็นต้องเร่งตรวจเชิงรุกและแยกผู้ติดเชื้อ และ 2.มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด-19 รวมไปถึงการประคับประคองกำลังซื้อในประเทศ
“ความท้าทายหลักจะอยู่ที่ตลาดแรงงานซึ่งมีความเปราะบาง เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในหลายจังหวัดได้ซ้ำเติมธุรกิจหลายประเภทที่ยังไม่ทันได้ฟื้นตัวจากการระบาดครั้งก่อน โดยคาดว่าแรงงานที่มีชั่วโมงการทำงานต่ำกว่าศักยภาพจะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อโดยรวมลดลง”
อย่างไรก็ดี หลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินได้อย่างต่อเนื่องในปี 64 แม้เศรษฐกิจโลกในไตรมาสแรกของปี 64 จะมีแนวโน้มชะลอลง จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้นในหลายประเทศ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเหล่านั้นเริ่มลดลง ประกอบกับหลายประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้ว
และมีจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าจะสามารถกลับมาผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคได้ในระยะถัดไป ซึ่งจะทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ตลอดจนความสามารถในการส่งมอบวัคซีนในหลายประเทศที่อาจกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม กกร. ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้า และรองรับผลิตผลทางการเกษตรที่กำลังจะทยอยออกตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยขอให้ท่าเรือแหลมฉบังเปิดให้เรือแม่ขนาด 400 เมตร เข้ามามากที่สุด และลดค่าใช้จ่ายเพื่อจูงใจให้เร่งนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเข้ามาให้มากขึ้น
นายสุพันธุ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามทิศทางการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในประเทศต่างๆ ส่วนสถานการณ์ในประเทศ หากสามารถควบคุมสถานการณ์โรคระบาดให้อยู่ในวงจำกัด และผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่จำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ภายในไตรมาสแรก ประกอบกับมีมาตรการภาครัฐที่สามารถบรรเทาผลกระทบของภาคธุรกิจและกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบอย่างตรงจุด
“ที่ประชุม กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 ที่จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% ถึง 3.5% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 3% ถึง 5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% ถึง 1.0%”
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในสหภาพเมียนมา หรือรัฐประหารเมียมาที่เกิดขึ้นนั้น กกร.มีข้อกังวลว่าหากมีการแทรกแซงทางการเมืองจากต่างประเทศ อาจส่งให้การค้าระหว่างไทยกับเมียนมาได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าจากไทย และขอให้การเปลี่ยนถ่ายอำนาจของรัฐบาลเมียนมาเป็นไปโดยสงบ และให้คงข้อตกลงหรือสัญญากับประชาคมต่าง ๆ
นายสุพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า กกร. ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการ Regional Digital Trade Connectivity (RDTC) ของ ASEAN-BAC ภายใต้ชื่อโครงการ Digital Trade Connect ที่ ASEAN-BAC ประเทศไทยเป็นผู้ผลักดัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลา และสร้างโอกาสให้เอสเอ็มอี (SMEs) เข้าถึงการค้าระหว่างประเทศและเข้าถึงสินเชื่อได้ดีขึ้น โดยดำเนินการเพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนการทำธุรกรรมการค้าขายระหว่างประเทศจากเดิมที่เป็นการทำด้วยกระดาษที่ต้องมีการนำเข้าข้อมูลเดียวกันในระบบผู้เกี่ยวข้องหลายครั้งมาเป็นการทำที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันผ่านระบบดิจิทัล ผ่านการทำงานในการสร้าง Compatibility และ Connectivity ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคที่ทำธุรกรรมการค้าแบบดิจิทัลร่วมกัน และที่ประชุมต้องการผลักดันให้โครงการดังกล่าวและโครงการ National Digital Trade Connectivity (NDTP) ของประเทศไทยให้สำเร็จและเกิดผลได้โดยเร็ว
“อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือ ต้องการจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ.ซึ่งขาดหายไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนของปี 63 เพื่อช่วนกันนำเสนอแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว”
นายกลินทร์ สารสิน ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมเรื่องวัคซีนในปัจจุบันของไทยเพื่อฉีดให้กับประชากร 50-60 ล้านคน รัฐบาลควรที่แผนให้ชัดเจนในการเรียงลำดับการฉีด และการกระจายให้ทั่วถึงไปทั่วประเทศว่าควรจะทำอย่างไร อีกทั้งยังคงรจะฉีดให้กับชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย และแรงงานต่างด้าว โดยค่าใช้จ่ายในการฉีดอาจจะเป็นเจ้าของธุรกิจเป็นผู้จ่าย ซึ่งภาครัฐอาจจเข้าไปสนับสนุน หรือช่วยเหลือในการลดหย่อนทางด้านภาษีให้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนโควิด-19 "หมอยง" ไขข้อสงสัยควรฉีด-ไม่ฉีดวัคซีนยี่ห้ออะไรดีที่สุด
โควิด-19 กลายพันธุ์ "หมอยง" ห่วงสายพันธุ์ใหม่มีการหลบหลีกภูมิต้านทานจากวัคซีน
ยอดติดเชื้อโควิด 3 ก.พ.64 รายใหม่ 795 หายป่วยเพิ่ม 784 สะสม 21,249 ราย
"แม่สอด" พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ 10 ราย
“โควิดกทม.” ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 ราย ยังถูกจัดเป็น “พื้นที่สีแดง”