ปี 2563 มีบริษัทค้าทองรายใหญ่ของไทย 3 บริษัท ติดท็อปเทน หรือติด 10 อันดับแรกของผู้ส่งออกรายใหญ่ของประเทศ ประกอบด้วยบริษัท วาย แอลจี บลูเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (บจก.), บจก.เอ็มทีเอส โกลด์( หรือห้างทองแม่ทองสุก) และบจก.ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช
จากการตรวจสอบงบการเงินของทั้ง 3 บริษัทที่นำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ในปี 2562 (ปี 2563 ยังไม่ได้นำส่งงบ) ในส่วนของบจก.วายแอลจี บลูเลี่ยนฯมีรายได้รวมถึง 392,151.76 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการขายหรือการให้บริการ) แต่ก็มีค่าใช้จ่ายรวมถึง 391,949.99 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากต้นทุนการขายหรือต้นทุนการให้บริการ ค่าใช้จ่ายในการขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหาร) มีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงินและหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 201.77 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพียง 63.68 ล้านบาท
บจก.เอ็มทีเอส โกลด์ มีรายได้รวม 422,732.03 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 422,627.03 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงินและหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 104.92 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 40.6 ล้านบาท และ บจก.ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช มีรายได้รวม 560,738.30 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวม 560,662.12 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงินและหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 76.17 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 48.30 ล้านบาท
คำถามคือบริษัทค้าทองรายใหญ่มีรายได้หลายแสนล้านบาท แต่ทำไมมีกำไรแค่หลักสิบล้านบาท “ฐานเศรษฐกิจ”สัมภาษณ์นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ แบบคำต่อคำ ได้รับคำตอบดังนี้
-บริษัทค้าทองมีรายได้สูง แต่ทำไมกำไรน้อย
มันแข่งขันกันเยอะมาก และจริงๆ เดี๋ยวนี้ผมก็ทำน้อยลง เพราะความเสี่ยงสูงมาก เชื่อมั้ยค้าทองราคาสูงสุดปีที่แล้วถึงบาทละ 30,400 บาท ถามว่า 3 หมื่นบาทนี้กำไรเท่าไหร่ 3 หมื่นบาทนี้กำไรไม่ถึง 5 บาท และมีความเสี่ยง บางทีลูกค้ามา ทำแล้วเบื่อจริง ๆ มีความเสี่ยง ที่ต่อคิวยาว ๆ มาขายทองปีที่แล้วต้องไปสินเชื่อต่างประเทศ บางทีกว่าได้เงิน 10 กว่าวัน คือเอาทองส่งออกไปก่อนแล้วเงินมาทีหลังเป็นพัน ๆ ล้าน ถ้าเกิดเมืองนอกตุกติกทีนึงเจ๊งเลย ความเสี่ยงนี่สูงมาก อย่างนี้ไม่ถูก เพราะแข่งขันกันมากขึ้นต่างคนต่างเอายอดตัวเลขสูง ๆ
-อย่างฮั้วเซ่งเฮงฯ ปี 2562 มีรายได้รวม 5.607 แสนล้าน มีค่าใช้จ่ายรวม 5.606 แสนล้าน กำไรสุทธิเพียง 48.3 ล้านบาท
ถึงว่าอย่างนี้ทำไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้
-รายได้หลักของผู้ค้าทองมาจากไหนบ้าง
มาจากส่วนต่างราคาทอง(ที่ซื้อมา-ขายไป) ตรงนี้ส่วนต่างแค่ 5 บาทไม่เยอะ และสมัยนี้มันซื้อหน้าเดียว เวลา(ราคาทอง)สูงมาขาย ไม่มีคนมาซื้อ มีแต่คนมาขาย ถ้ามีคนมาซื้อมาขายหักลบก็จะมีกำไรส่วนต่างเยอะ แล้วก็ส่งไปขายต่างประเทศ ส่วนต่างมีแค่ไม่เกิน 5 บาท
-รายจ่ายหลักของผู้ค้าทองคืออะไร
รายจ่ายก็คือต้นทุนที่โอนเข้ามา ที่ขายทองบวก-ลบกำไร ราคาทอง 3 หมื่นกว่า รายจ่ายก็ 3 หมื่นกว่าเช่นกัน กำไรประมาณ 5 บาท รวมถึงต้องมีค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าจิปาถะ จริงๆ ทำแล้วไม่คุ้ม ตัวเลขรายได้สูง รายจ่ายก็สูง กำไรน้อย การซื้อเข้า-ขายออก จริงๆ สมาคมตั้งไว้ห่าง 100 บาท แต่จริงๆ ซื้อขายกันกำไรไม่เกิน 5 บาท ลงทุนบาทหนึ่ง 3 หมื่นบาท กำไร 5 บาท เสียดอกเบี้ยวันหนึ่งก็ไม่คุ้มแล้ว รายรับ-รายจ่ายมันเป็นอย่างนี้ ค้าขายแบบนี้มีความเสี่ยงสูง สรุปก็คือรายจ่ายหลักก็จากซื้อทองเข้ามาแล้วขายออกไป กินกำไรจากส่วนต่าง แล้วยังมีรายจ่ายค่าพนักงาน ค่าสถานที่ ค่าเช่า ค่าอะไรต่าง ๆ มันก็เยอะ พนักงานส่วนใหญ่เงินเดือนก็สูงเพราะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดูทอง
-เงินเดือนสูงขนาดไหน
พนักงานเงินเดือนก็หลายหมื่น ถ้าเป็นหลงจู๊ก็หลักแสน มีโบนัสอีก อะไรอีกเยอะแยะ
-สรุปทองที่เราซื้อมา-ขายไป คุ้มกับการทำธุรกิจหรือไม่ อย่างไร
คือสมัยก่อนมีการซื้อขายทองรูปพรรณเยอะ ก็มีค่ากำเหน็จ(ค่าแรงในการทำทอง) เข้ามา มีมาร์จิ้น แต่ซื้อขายทองคำแท่งไม่มีค่ากำเหน็จ ไม่มีมาร์จิ้น อะไรมันไม่มีไง ก็มีแต่ตัวเลขสวย ๆ ซึ่งตัวเลขมันน่ากลัว
-ปี 2563 กำไรของผู้ค้าทองภาพรวมดีกว่าปี 2562 หรือไม่
ผมว่าตัวเลขมันน่าจะเพิ่มขึ้น เพราะคนมาต่อคิวขายทองเยอะเลยตามที่เป็นข่าว แต่กำไรน้อย ตัวเลขมันคงเพิ่มขึ้นมาหน่อย แต่ว่าทองรูปพรรณนี่ขายน้อยลงกว่าปี 2562
-ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาจากทองคำแท่งใช่หรือไม่
ใช่ครับ มาจากราคาทองคำแท่งที่สูงขึ้นมา กำไรก็อาจจะสูงขึ้นมานิดหน่อย
-ทิศทางค้าทองคำปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2563
ปี 2564 น่าจะแย่ลง เพราะว่าราคาทองตก รายได้ก็น้อยลง รายจ่ายก็น้อยลง น่าจะตกเยอะ คือว่าเวลานี้เวลาซื้อเข้ามาแล้วขายออกไป คือรายรับกับรายจ่ายก็ลดตามส่วนลงไป แต่ค่าใช้จ่ายมันคงที่ ค่าโสหุ้ย ค่าใช้จ่ายมันคงที่ ปี 2563 เทียบกับปี 2562 ยอดขายซึ่งถือเป็นรายได้น่าจะลดลง 30-40% พูดถึงปี 2564 ปีนี้เงียบมากเลย ตั้งแต่ปีใหม่มาก็เงียบ และราคาทองก็ลดลงมาไง
-ราคาทอง ณ ปัจจุบัน
อยู่ที่ 25,000 กว่าบาท ยึดที่ราคาทองคำแท่งเป็นหลัก ส่วนทองรูปพรรณก็บวกค่ากำเหน็จ ถ้าทองรูปพรรณขายไม่ได้มากก็ไม่มีค่ากำเหน็จที่จะมาบวก ซึ่งราคาทองรูปพรรณก็จะแพงกว่าทองคำแท่งอีกหลายร้อยบาทเพราะบวกค่ากำเหน็จ ส่วนทองแท่งไม่มีค่ากำเหน็จ มันซื้อเข้า-ขายออก
-ราคาทองคำแท่งโดยเฉลี่ยทั้งปี 2563 อยู่ที่เท่าใด
ต่ำสุด 22,000 บาท สูงสุด 30,400 บาท มันขึ้นมาตลอด
-ปี 2564 คาดราคาทองต่ำสุด-สูงสุดจะอยู่ประมาณเท่าไร
ปีนี้ราคาสูงสุด ณ ปัจจุบันยังกว่า 25,000 สูงสุด ต่ำสุดยังไม่รู้ แต่ระยะยาวน่าจะต่ำกว่า 24,000 คงต้องดูอีกซักระยะ ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ซึ่งปัจจัยหนึ่งคงต้องจับดูว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯจะนโยบายอย่างไร ซึ่งตอนนี้นโยบายยังไม่ชัดเจน ซึ่งหากเขาจะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้เม็ดเงินกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่า และดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่า ราคาทองคำก็จะถูกลง แต่ตอนนี้เศรษฐกิจยังไม่ดี กำลังซื้อก็ยังไม่ดี คงต้องดูนโยบายต่างประเทศ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน หรือสหรัฐฯกับหลาย ๆ ประเทศโดยการขึ้นภาษีจะทำให้ธุรกิจเสียหายเหมือนกัน ดูว่าเขาจะปรับนโยบายให้นิ่มนวลกว่านี้มั้ย
-ปัจจัยที่มองว่าอาจจะทำให้ราคาทองต่ำกว่าบาทละ 24,000
ปัจจัยก็มาจากนโยบายต่างประเทศของโจ ไบเดนที่นิ่มนวลกว่าในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ และก็วัคซีนที่ออกมาในหลาย ๆ ประเทศถึงตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าได้ผลหรือไม่ แต่น่าจะดีกว่าไม่มี โควิดน่าจะเบาลง และอาจทำให้ธุรกิจบางอย่างค่อย ๆ ขยับดีขึ้นหน่อยนึง
-ปัจจัยเหล่านี้จะมีผลต่อราคาทองขึ้น-ลงอย่างไร
คือถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะทำให้ธุรกิจดีขึ้นมาหน่อย ถ้าเศรษฐกิจ ธุรกิจไม่ดีทองคำมันก็ซบเซา กำลังซื้อก็ไม่มี เงินกินยังไม่มี จะมีเงินมาซื้อทองคงเป็นไปไม่ได้ ราคาทองจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ตอนนี้มันแย่มาสุด ๆ ร้านทองก็ปิดไปเยอะ โรงงานก็ปิดไปเยอะ ในระบบคนก็ตกงานไปเยอะ
-ร้านทองปิดไปมากแค่ไหน
ผมว่าที่ปิดไปเยอะ เยาวราชก็มีร้านใหญ่ ๆ ที่ปิดไป ที่ปิดไม่ใช่ขาดทุน ยังพอมีกำไร แต่สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว เลยเลิกดีกว่า ส่วนร้านค้าทองเล็ก ๆ ก็ปิดไปเยอะแถวเยาวราชก็ปิดไปหลายแห่ง
-โรงงานที่ปิดส่วนใหญ่เป็นโรงงานอะไร
โรงงานทำทองรูปพรรณปิดไปเป็นร้อย ผลพวงจากร้านทองขายไม่ดี ส่วนการซื้อขายทองแท่งก็ไม่มีกำไร เช่นคุณมาซื้อ 3 หมื่น แต่ขายออกไปต่างประเทศ 29,990 บาท ห่างกันนิดเดียวเองไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเห็นว่ารายรับ-รายจ่าย(ของบริษัทผู้ค้าทองหลายราย)เป็นแสนล้านบาท แต่มีกำไรนิดเดียว เพราะไม่มีคนซื้อ มีแต่คนมาขายก็ต้องส่งออกไปตลาดโลก เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วกำไรก็เหลือไม่มาก เพราะพนักงานผู้เชี่ยวชาญก็เงินเดือนสูง ๆ ทั้งนั้น
-โรงงานทองรูปพรรณที่ปิดไปส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดไหน
ส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานห้องแถว ไม่ใหญ่ เหมือนกับเป็นโรงงานแบบครัวเรือน กระจายอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดก็มีบ้าง ไม่เยอะ
-ราคาทองคำแท่งในตลาดโลกปีนี้มองว่าสูงสุดจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ จากปีที่แล้วสูงสุดที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 1,810 กว่าเหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ ผมว่าสูงสุดก็คิดว่าไม่น่าจะถึง 2,000 เหรียญ ส่วนตัวก็คิดว่าในระยะยาวน่าจะมีโอกาสต่ำกว่า 1,500 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ จากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ราคาทองวันนี้(20 ก.พ.) เพิ่มขึ้น 150 บาท ทองคำแท่งขายออก 25,350 บ.
“จิตติ”นายกสมาคมค้าทองคำ ชี้อีกสองสัปดาห์ “ราคาทอง" ผันผวนก่อนปิดงบสิ้นปี |
ราคาทองในประเทศไม่ถึง 30,000 บาทแน่ สมาคมค้าทองคำ ฟันธง
3 บริษัทค้าทองผู้ส่งออก แซงโปรดักส์แชมป์เปี้ยน
หนุนธปท. คุมค้าทองเก็ง!กำไรบาท