นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการเข้าพบ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมหารือรับมือการแพร่ระบาดที่กำลังเกิดขึ้นมาในช่วงสงกรานต์นี้ ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจประมาณ 5 พันล้านบาท หากมีการ Lockdown โดยทางกรุงเทพมหานครและหอการค้าไทยได้มีการวางแผน และเล็งเห็นความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ควบคู่ไปกับสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยจะควบคุมการเปิดปิดเป็นรายประเภทธุรกิจและพื้นที่เท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้จำกัด ทั้งนี้ ภาคเอกชนจะสื่อสารให้ประชาชนปฏิบัติตัวตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้น ยังมีการหารือเรื่องการวางแผนรองรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งภายในสิ้นปีนี้คาดว่า กทม.จะได้รับโควตาวัคซีนประมาณ 10 ล้านโดส อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการฉีดวัคซีนของ กทม.ในขณะนี้ อยู่ที่ประมาณวันละ 5 พัน ถึง 1 หมื่นคนต่อวันเท่านั้น โดยใช้โรงพยาบาลในสังกัด กทม. 11 แห่ง และโรงพยาบาลในสังกัดอื่น 31 แห่ง ประกอบด้วย รพ.มหาวิทยาลัย รพ.ทหาร รพ.ตำรวจ รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข และ รพ.เอกชน รวมทั้งสิ้น 42 แห่ง ซึ่งหากมีวัคซีนเข้ามาปริมาณ 1.5-2 ล้านโดสต่อเดือน หลังจากช่วงเดือนมิถุนายนแล้ว เพื่อที่จะให้ฉีดได้ครบจำนวนจะต้องมีแผนการฉีดวัคซีนให้ได้ 3-5 หมื่นคนต่อวัน ดังนั้นเพื่อเพิ่มปริมาณการฉีดต่อวันให้ได้ครบ หอการค้าไทยจะร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“หอการค้าไทยได้ประสานความร่วมมือไปยังห้างสรรพสินค้าและโรงพยาบาลเอกชน ในการจัดเตรียมพื้นที่รองรับ รวมไปถึงสถานที่พักคอยทั้งก่อนฉีด และสังเกตอาการหลังฉีด ตลอดจนน้ำดื่ม เตียง ระบบการขนส่งวัคซีน รถพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน และบุคลากรอาสาสมัครในการฉีด ทั้งนี้ จะมีการกระจายพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมประชากรในกรุงเทพฯ ให้สามารถเดินทางอย่างสะดวก โดยแผนทั้งหมดนี้ หอการค้าไทยและภาคเอกชนจะร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดกับ กทม. เพื่อให้แผนการดำเนินงานนี้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน และ กทม.จะเริ่มฉีดให้กับประชาชนได้ในเดือนมิถุนายน” นายสนั่น กล่าว
ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกันดังกล่าว เชื่อว่าหากการฉีดวัคซีนใน กทม.เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จะสามารถครอบคลุมประชากรในกรุงเทพฯ ได้ประมาณ 70% ภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดได้ และจะใช้โมเดลการกระจายวัคซีนนี้ เป็นต้นแบบให้กับการดำเนินงานในต่างจังหวัด โดยให้หอการค้าจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการประสานงานต่อไป