นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 393 ล้านบาท หรือ 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี และเงินปันผลรับจากบริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด แม้ว่าผลจากการดำเนินงานในส่วนของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า IPP ทำให้รายได้ค่าความพร้อมจ่ายลดลง แต่กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มี margin สูงขึ้นจากการปรับตัวลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติและราคาถ่านหิน รวมถึงความต้องการใช้ไอน้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าอุตสาหกรรม
สำหรับผลการดำเนินงานของไตรมาส 1/64 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/63 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 515 ล้านบาท หรือ 35% โดยมีสาเหตุหลักจากค่าบำรุงรักษาลดลง เนื่องจากในไตรมาส 4 ที่ผ่านมามีการซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้า SPP ของโกลว์ และกำไรขั้นต้นจากการขายไอน้ำให้ลูกค้าอุตสาหกรรมสูงขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ รับรู้มูลค่า Synergy จากการควบรวมกิจการสุทธิหลังภาษีจำนวน 224 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/64 ซึ่งส่วนหลักได้รับจากการบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงรักษา การใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน และการบริหารจัดการเถ้าถ่านหิน (Coal ash) นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด (GRP) โดยได้ขายหุ้น GRP ในสัดส่วน 50% ให้กับ บริษัท ปตท. โกลบอล แมนเนจเม้นท์ จำกัด (PTTGM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา
ทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายหุ้นดังกล่าว และส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ผลประกอบการจาก GRP เป็นส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมภายหลังการดำเนินการขายหุ้นแล้วเสร็จ การร่วมทุนดังกล่าว เป็นอีกก้าวของการยกระดับความร่วมมือเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ ในอนาคต
“นับเป็นการรวบรวมบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านพลังงานหมุนเวียนจากทั้ง ปตท. และ GPSC มาดำเนินงานร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ รวมไปถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นำไปสู่การพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนร่วมกันต่อไป”
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 (Covid-19) ระลอกใหม่ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญในการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยมีมาตรการคุมเข้ม ได้แก่ ห้ามบุคคลภายนอกเข้าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ปฏิบัติการ พร้อมออกระเบียบให้พนักงานสายงานสนับสนุน ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home) 100% การเตรียมแผนบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจสำหรับสายปฏิบัติการ
และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในหน่วยผลิตให้สามารถเดินหน้าผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของลูกค้าในการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับแสวงหาพันธมิตรในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานใหม่ๆ เพื่อรองรับกับเทรนด์การพัฒนาพลังงานแห่งอนาคต โดยเฉพาะการต่อยอดเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เพื่อใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของกลุ่ม ปตท. ในการบริหารจัดการพลังงานแบบครบวงจร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :